TV24 สถานีประชาชน was live.
.....
ooo
มารู้จัก 'วัฒนา เมืองสุข' ''ผมลิขิตชีวิตตัวเอง''
ที่มา (ส่วนหนึ่ง) เวป OSKNETWORK
ชีวิตดั่งละครของ "วัฒนา เมืองสุข"
คณะรัฐมนตรี"ทักษิณ 7"เป็นการปรับ ครม. ที่พลิกความคาดหมายของคอการเมืองไม่น้อยโดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ "เด้ง"อดิศัย โพธารามิกไปรับตำแหน่งที่"หิน"กว่า "ดัน" วัฒนา เมืองสุข หลานเขยยักษ์ใหญ่"ซีพี"เข้ามารับตำแหน่ง"รมว."แบบ"ข้ามหน้าข้ามตา"คนในคณะรัฐบาลจำนวนไม่น้อย
วัฒนา เมืองสุข เป็นใคร!!!
เส้นทางชีวิตของ วัฒนา เมืองสุขนั้นเคยเป็น เด็กวัดมาก่อนแล้วได้ดิบได้ดีเหมือนนักการเมืองทั่วไป เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2500 ที่จังหวัดปราจีนบุรี ในครอบครัวชาวสวน ก่อนที่พ่อแม่จะอพยพครอบครัวจากต่างอำเภอเข้าสู่ชุมชน เมืองและเปิดร้าน "โชวห่วย"ขายของชำ ในตลาดเมืองปราจีนบุรี ชีวิตในวัยเด็กของเขาไม่ได้มีความ สุขสบายนักทุกสิ่งที่ทุกอย่างถ้าอยากได้ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่หวังมานั่นหมายถึงเขาต้องแลกทุกอย่าง ด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของเขาเองทั้งสิ้น
เริ่มการศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียน ประจำจังหวัดปราจีนบุรีจนจบชั้นประถมปีที่ 7 ด้วยความที่เป็นเด็กเรียนเก่งและพ่อแม่มองเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงนำเขาเข้าไปฝากฝังกับพระรูปหนึ่งในวัดเทพศิรินทร์ฯเพื่อสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
"สมัยนั้นโรงเรียนที่ดังที่สุดคือโรงเรียนสวนกุหลาบ เด็กผู้ชายจำนวนไม่น้อยมุ่งหน้าเข้ามาสอบ แข่งขันเพื่อให้ได้เรียบนต่อที่นี่ ยิ่งคนที่รักกีฬาฟุตบอลแล้วสวนกุหลาบคือโรงเรียนในฝันทีเดียว" วัฒนาเล่าถึงชีวิตในวัยเด็ก
ช่วงที่เรียนในโรงเรียนสวนกุหลาบ วัฒนาจัดว่าเป็นนักฟุตบอลที่มี"ฝีเท้า"ดีจนได้รับคัดเลือกให้เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน จนกระทั่งโค้งสุดท้ายของนักเรียนชั้นมัธยมฯวัฒนาทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่กับการอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้าเรียนต่อใน ระดับมหาวิทยาลัย เขาสร้างความฝันให้เป็นจริงด้วยการเข้าไปเป็นนิสิตคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เขาเล่าถึงความฝันตั้งแต่วัยเด็กว่า "ผมอยาก เรียนกฎหมายเพราะสมัยที่ผมเป็นเด็กผมเห็น คนดังๆในแวดวงต่างๆล้วนแล้วแต่จบกฎหมายทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นอาจารย์เสนีย์ ปราโมช ส.ก.3235ผู้ล่วงลับ หรือแม้แต่ ประธานาธิบดีของมหาอำนาจก็เรียนกฎหมาย"
ใช้ฟุตบอลเป็นหลักบริหารจัดการ
ด้วยความที่เขาเป็นนักฟุตบอลฝีเท้าดี ในช่วง ที่เขาเรียนในรั้วจามจุรี วัฒนาถูกคัดเลือกให้เป็นนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัยเขามีโอกาสได้เข้าแข่งขันกีฬาประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ หลายครั้งแต่ละครั้ง ทุกครั้งที่เล่นฟุตบอลเขาจะเล่นเป็น กองกลางตัวรับมาโดยตลอด เขาให้ความสำคัญต่อตำแหน่งนี้เพราะเขาเชื่อว่าคนที่เล่นกองกลางจะต้องมีความเป็นผู้นำซึ่งถือเป็นตัวที่"บงการเกม" จะทำให้สามารถคิดและตัดสินใจเองได้ในสภาวะที่ถูกกดดัน
การผนวกเกมกีฬามาใช้ในการการดำเนินชีวิต ของวัฒนาถือว่า"เหนือชั้น"กว่าคนในรุ่นราวคราวเดียวกันเดียวกัน เขายอมรับว่าการเล่นฟุตบอลมันทำให้เขาสามารถนำมาปรับใช้กับการวางแผนชีวิตไม่เว้นแม้แต่การ"เล่นการเมือง"
"ผมมองว่าคนเล่นกองกลางจะสามารถมองอะไรได้รอบตัวต้องมองทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง ว่ามีฝ่ายตรงข้ามและมีเพื่อนร่วมทีมอยู่ตรงไหนบ้าง"
วัฒนา จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีเมื่อปี 2523 จากนั้นสอบเข้าเข้าศึกษาต่อเนติบัญฑิตจนจบ ก่อนที่จะเปิดสำนักงานกฎหมาย"ดิศบุตรและวัฒนา"ขึ้นในปี 2525 และประกอบอาชีพทนายความ เรื่อยมา
เป็นเขยตระกูลซีพีเข้าสู่การเมือง
ด้านชีวิตครอบครัว วัฒนา คบหาดูใจกับ"พัชรี เจียรวนนท์"ลูกสาวของสุเมธ พี่ชายของธนินทร์ เจียวนนท์ มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เมื่อทุกอย่างพร้อมเขาจึงตัดสินใจจบชีวิต"โสด"กับพัชรี ทั้งคู่มี"โซ่ทองคล้องใจ"ด้วยกันสามคน โดยคนโต "เพ็ญพิชชา เจียรวนนท์"ได้ยกให้กับพ่อตาและพี่ชายภรรยานำไปเลี้ยงดูที่ฮ่องกง คนที่สองเป็นชายชื่อ ดิศญุตม์ เจียรวนนท์ ส่วนลูกสาวคนสุดท้องชื่อวีระดา เมืองสุข
ด้วยความที่เขาเป็นคนสนใจการเมืองมาตั้งแต่เด็กทำให้ วัฒนา ตัดสินใจลงสมัคร รับเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในชีวิตเมื่อปี 2539 ในจังหวัดปราจีนบุรี ในนามพรรคชาติพัฒนา และได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาหินอ่อนในนามพรรคชาติพัฒนา (2539-2543) ก่อนที่จะย้ายเข้าสังกัดในพรรคไทยรักไทยและได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่สองก่อนที่เขาจะได้รับตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พิทักษ์ อินทรวิทยนันท์
"ผมเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะ ตัวผมเองมีความ พร้อมทั้งอายุและวุฒิภาวะรวมทั้ง ความพร้อมทาง ด้านครอบครัว ผมได้รับการช่วยเหลือจากคุณสมาน พุมมะกาญจนะ อดีต ส.ส.ของปราจีนบุรี ชีวิตการเมืองของผมจึงได้เริ่มต้นขึ้น"
ในปี 2544 ชีิวิตบนถนนการเมืองของวัฒนารุ่งโรจน์ขึ้นเมื่อเขาได้ตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะเลื่อนชั้นให้กินตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2545
เมื่อเข้ารับตำแหน่ง"รมช.พาณิชย์"เขาถูกมองว่าตำแหน่งที่ได้มานั้นเป็นเพราะบารมีและ"โควต้า" ของ "พ่อตา" ซึ่งเป็นผู้บริหารของกลุ่ม "ซีพี" ผู้สนับสนุนด้านเงินทุนให้กับพรรคไทยรักไทย ซึ่งใน ฐานะ"หลานเขย"จึงเป็นตัวเลือกและตัวแทนที่ดีที่สุด
เขายอมรับว่าเมื่อครั้งที่ได้รับตำแหน่งใหม่ๆมีคนมองว่าเขาจะทำงานตาม"ใบสั่ง"มากกว่าการทำงานด้วยมันสมองของเขาเอง ซึ่งเขาถือว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทายเหมือนกับได้ลงไปเล่นฟุตบอลอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเริ่มทำงานจึง"จับงาน"ที่ใครต่อใครไม่อยาก เข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะ"กลัวเปลืองตัว"โดยการประกาศสงครามกวาดล้าง"เทปผีซีดีเถื่อน"อย่างจริงจัง ประจวบกับนิสัยที่เปิดเผย โผงผางพูดจาตรง ไปตรงมา ทำให้ชื่อ"วัฒนา"ติดชั้นรัฐมนตรีมีผลงาน โดดเด่น ยิ่งเขาเสนอโครงการ"ประกันชีวิตเอื้ออาทร" จนกลายเป็นนโยบายสำคัญอีกอย่างหนึ่งของรัฐบาลด้วยแล้วยิ่งทำให้ วัฒนา กลายเป็นรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งที่สามารถแทรกเข้าไปนั่งใน "หัวใจ" ของนายกฯทักษิณ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ตำแหน่ง"รมว.พาณิชย์"ที่ วัฒนา เมืองสุข ยึดครองนั้น จะได้มาเพราะ "โชคช่วย"หรือได้มาเพราะ "ฝีมือ" นับจากนี้จึงน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง!!!
เอกชนหวั่นแผนรื้อทั้งระบบ
ประธานหอการค้าไทยเชื่อ รมว.พาณิชย์ จะสานต่อนโยบายเรื่องการส่งออกแม้จะประกาศ "รื้อ" ระบบใหม่แต่เชื่อ"นายกฯ"คุมเกม ได้ อาร์.เอส.-แกรมมี่ เชียร์ วัฒนาปราบ"ซีดีเถื่อน" ต่อด้านนายกฯ กลุ่มอุตสากรรมเครื่องหนังเอาด้วยถ้าเอกชนได้รับความสะดวก ติงอย่ารื้อระบบทั้งหมดเพราะอาจสะดุดถ้าเปิดตลาดเสรี
ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คนใหม่ของ วัฒนา เมืองสุข นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะกระทรวงพาณิชย์นั้นถือเป็นกระทรวงเกรด A และเป็นกระทรวงเศรษฐกิจที่รัฐบาลทุกชุดให้ความสำคัญมาก การคัดเลือกคนเข้ามาทำงานในฐานะรัฐมนตรีว่าการนั้นจะต้องเลือกคนที่มี"พรรษา"และมากไปด้วยความสามารถเป็นที่ยอมรับของนักธุรกิจทั่วไป เมื่อดูจาก"ชื่อ"และ"ชั้น"ของวัฒนา เมืองสุข แล้วยังถือว่าเป็นนักการเมืองหน้าใหม่และยังไม่เด่นชัดในเรื่องของ"ฝีมือ"มากนักถ้าเปรียบเทียบกับดีกรีของอดิศัย โพธารามิก รมว.คนเดิมที่ครอง เก้าอี้ รมว.พาณิชย์ มาตั้งแต่เริ่มการตั้งรัฐบาล
ดร.อาชว์ เตาลานนท์ ประธานหอการค้า ไทย ให้ความเห็นว่า การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมเนื่อง จากรัฐบาลมีการเปลี่ยนตัวบุคคลแต่ไม่ได้เปลี่ยน นโยบาย ขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศได้ฟื้นตัวอยู่ในขั้นปกติแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการส่งออก
เขาเชื่อมั่นว่ารัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์คนใหม่และรัฐมนตรีช่วยฯสามารถสานต่อนโยบายของรัฐมนตรีอดิศัยที่วางไว้เป็นรูปเป็นร่างไว้แล้วได้ โดยเฉพาะการส่งออกและการขยาย ตลาดใหม่ๆ หรือแม้แต่การจัดตั้งเขตการค้าเสรี ประการสำคัญ รมว.คนใหม่มีความคุ้นเคยกับงาน ของกระทรวงพาณิชย์ดีอยู่แล้วและยิ่งมีความใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรีด้วยแล้วก็ยิ่งจะสามารถผลักดันนโยบายที่นายกรัฐมนตรีกำหนด ไว้ได้
"ในโอกาสต่อไปหอการค้าไทยจะได้เข้า หารือถึงเรื่องตลาดส่งออกของไทยโดยเฉพาะการสร้างตลาดใหม่ๆเช่น รัสเซีย กลุ่มประเทศ CIS แอฟริกา ซึ่งแต่ละแห่งต้องมีการวางยุทธ-ศาสตร์ร่วมกันเพื่อจะได้ช่วยสนับสนุนในการขยายตลาดในอนาคตด้วย"
ทั้งนี้ดร.อาชว์ เตาลานนท์ เป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มซีพี ซึ่งวัฒนา เมืองสุขเองก็เป็นหลานเขยกลุ่มซีพีเช่นกัน
จี้คืนภาษีเอกชนเร็วๆ
ด้านสุชาติ จันทรนาคราช นายกอุตสากรรมเครื่องนุ่งห่ม กล่าวเห็นด้วยกับแนวคิดที่จะให้เอกชนได้รับความสะดวกและขจัดปัญหาอุปสรรค แต่ก็ไม่อยากให้รัฐมนตรีปรับเปลี่ยนนโยบายสิ่งทอมาก เกินไปก่อนที่จะมีการเปิดเสรี ทางการค้าในปี 2548
ในส่วนของสภาอุตสาหกรรมฯ นายประพัตร โพธิวรคุณ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทย ระบุว่า ต้องการให้รัฐมนตรีใหม่เร่งรีบที่จะคืนภาษีส่งออกนำเข้า19ทวิให้แก่เอกชนอย่างรวดเร็ว เพราะเรื่องนี้ยืดยื้อมายาว นานเกินไปแล้ว ทำให้เอกชนผู้ส่งออกติดปัญหา สภาพคล่อง
"ผมไม่ต้องการอะไร ต้องการให้รีบมาแก้ปัญหาการคืนภาษีให้เร็วๆเพราะรัฐบาลยังแก้ไขไม่ได้เลย"
ขณะที่สุทธิศักดิ์ ประศาสตร์ครุการ ผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา บริษัทอาร์.เอส.โปรโมชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการที่นายวัฒนา เมืองสุขได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อเรื่องลิขสิทธิ์ ทรัพย์สินทางปัญญา โดยส่วนตัวเชื่อว่า รมว.ใหม่เข้าใจปัญหาต่างๆได้ลึกซึ้ง ในส่วนของผู้ประกอบ การต้องการให้ รมว. เข้าแก้ปัญหาการ ละเมิดลิขสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง
ส่วน OSK ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานบริหารบริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด(มหาชน)ให้ความเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญกับภาค เอกชนมากโดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญยา โดยเฉพาะ รมว.วัฒนานั้นได้สร้าง ผลงานอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นที่ยอมรับ เมื่อเข้ารับตำแหน่ง รมว.เชื่อว่าจะยังคงดำเนินการด้านนี้ต่อไป
จะเห็นว่าภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลิขสิทธิทางปัญญาต่างแซ่ซ้องที่เขาขึ้นมานั่งเก้าอี้เพราะผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาก็คือการปราบปรามพวกละเมิดลิขสิทธิ์
จากหนังสือเนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 11 ฉบับที่ 541 วันที่ 14-20 ต.ค. 2545
"ผมลิขิตชีวิตตัวเอง" ถึงคิวข้า 'วัฒนา เมืองสุข'
ปิยาวันทน์ ประยุกต์ศิลป์ เรื่อง อนันต์ จันทรสูตร์
วันที่ 14-20 ต.ค. 2545
http://www.osk103.com/news/myway.html
ผมไม่เคยทำงานในซีพี ผมประกอบอาชีพส่วนตัวมาตลอด ในชีวิตเข้าไปเกี่ยวข้องกับซีพีอย่างเดียวคือขอลูกสาวเขา ผมมารู้ทีหลังว่าที่พ่อตายกลูกสาวให้เพราะผมเป็นเด็กวัด"
ชื่อ 'วัฒนา เมืองสุข ' อาจไม่ติดหูหรือติดตาสังคมส่วนใหญ่ ทว่า ในอาณาจักรคนการเมืองนั้น แม้นชื่อเขาจะไม่เด่นเป็นนักการเมืองแถวหน้า เหตุเพราะงานในตำแหน่ง (อดีต) รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นงานหลังฉาก แต่ไม่ได้หมายความว่า การวางตัวแบบ 'low-profile' กับสื่อ จะทำให้ชื่อเขาตกขอบไปจากความสนใจของใครต่อใคร
"เห็นไหมว่า ไม่มีใครยี้ใส่ผม โดยเฉพาะน้องๆ สื่อมวลชนที่ทำเนียบฯ ทุกคนมีแต่แสดงความยินดี เพราะเขารู้ว่าผมทำงาน คอลัมนิสต์ใหญ่ๆ ไม่มีใครแตะผมสักคน"
ยิ่งสำหรับหัวหน้าพรรคไทยรักไทยด้วยแล้ว กล่าวได้ว่า ทักษิณ ชินวัตรมองเห็นศักยภาพในตัวของ 'นายไก่' คนนี้มาเนิ่นนาน ทั้งที่มีโอกาสทักทายกันไม่เกิน 3 ครั้ง และพูดคุยด้วยกันอย่างจริงจังเพียงแค่ 1 ครั้ง
"ในชีวิตผมได้อยู่กับคนเก่งมาตลอด อย่างน้อยก็ได้รับใช้นายกรัฐมนตรีถึงสองคน ก่อนหน้าท่านทักษิณคือพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน นั่นเป็นความโชคดีครั้งแรก"
เอาล่ะ ประเดี๋ยวเขาจะเปรียบมวยให้ฟัง
นอกเหนือจาก 'สองนายกฯ' แล้ว ยังมีอีก 'สองเจ้าสัว' ที่ตัวเขาไม่ลืมจะเอ่ยถึงด้วยความภาคภูมิใจว่าเป็นโชคดีที่ได้ใกล้ชิดคนเก่งนั้น
คนแรก 'สุเมธ เจียรวนนท์' ผู้เป็นคุณพ่อตา
แน่นอนอีกคนย่อมเป็น 'ธนินท์-เจ้าสัวซีพี' ผู้ที่เขาเรียกตามลำดับเครือญาติว่า 'อาเจ็ก'
และทั้งหมดนี้คือที่มาแห่งฉายา 'รัฐมนตรีฯเขยซีพี'
"ถ้าคนอื่นมานั่งในตำแหน่งนี้ คงไม่มีใครรู้สึกกลัว แต่พอผมมา ทุกคนกลับกลัวความพร้อมที่อยู่ข้างหลังผม ผมถึงบอกว่า ท่านเสี่ยงมากที่เลือกผมมาไว้ตรงนี้ เพราะอาจถูกตำหนิได้ว่า ส่งคนมาทำไมไม่ดู"
พูดจบ วัฒนาลูบคางเบาๆ ราวครุ่นคิดถึงเหตุการณ์วันก่อนหน้าวันประกาศชื่อครม.ทักษิณ 4 เพียง 1 วัน ขณะเดินไปส่ง 'นาย' ขึ้นรถว่า
"ต่อไปนี้คงไม่มีเวลามาส่งผมแล้วนะ ท่านรัฐมนตรีช่วยฯพาณิชย์"
มันคงไม่เสียเวลาอะไร ถ้าคุณจะทำความรู้จักกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์คนนี้ จะได้รู้เสียทีว่า เขยซีพีคนนี้ มีน้ำยาแค่ไหน?!
0 0 0
เนชั่นสุดสัปดาห์ นัดพบ 'เสนาบดีไก่' ที่กระทรวงท่าเตียนเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน บรรยากาศห้องทำงานรัฐมนตรีวันนั้นหอมอบอวลด้วยกลิ่นดอกไม้แห่งความยินดีจากหลายสิบกระเช้า โดยมี อรทัย ฐานะจาโร ร่วมต้อนรับอย่างแข็งขัน ในฐานะเลขานุการ รมช.พาณิชย์ แม้นว่าเธอจะตั้งครรภ์บุตรคนที่ 3 ได้ 3 เดือนแล้วก็ตาม
"ผมอยากให้ทุกคนรู้จักผมก่อน ผมเป็นคนพูดตรงนะ ปากจัดด้วย ถ้าคุณต้องการรัฐมนตรีที่ก้านสมองเรียบ พาคุณไปจับซีดีที่พันธุ์ทิพย์เดี๋ยวนี้เลยก็ทำได้ แต่ผมจะให้คนขับรถผมไป เพราะสมองอย่างนั้นมันระดับคนขับรถ ไม่ใช่ผม แต่ถ้าคุณต้องการคุยกับรัฐมนตรีที่คิดรอบด้าน หรือแบบบูรณาการอย่างที่ซีอีโอคิดน่ะ คุณคุยกับผมได้"
แค่เกริ่นก็พอจะอ่านออกว่าเขากำลังพาตัวเองไพล่ไปเปรียบกับอดีต รมช.ซึ่งเป็นใครก็ตีความถูกว่า หมายถึง 'เนวิน ชิดชอบ' ส.ก.18585เพื่อนรักร่วมสถาบัน 'ชมพู-ฟ้า' มาด้วยกัน ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น มศ.2/3 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย [ศิษย์เก่าจากสกุลชิดชอบมีดังนี้: เลขประจำตัว ชื่อ-นามสกุล ปีการศึกษา; 18585 เนวิน ชิดชอบ 2514; 19749 เพิ่มพูน ชิดชอบ 2516; 22054 ศักดิ์สยาม ชิดชอบ 2519; 40355 คเณศ ชิดชอบ 2539]
เหมือนเป็นการออกตัวหรือโหมโรง แต่ก็เรียกน้ำย่อยแห่งอาการกระหายข่าวต่อประเด็นที่สังคมสนใจได้มาก ดังคำวิจารณ์ของสื่อที่ว่า เก้าอี้ รมช.ตัวที่เขานั่งอยู่ชั้น 3 นั้น มี 'ระเบิดเวลา' ที่เนวิน ชิดชอบ แอบฝังไว้
นั่นหมายถึงปัญหาเรื่องค้าปลีกของดิสเคาท์สโตร์ยักษ์ใหญ่ 4 ราย ได้แก่ เทสโก้-โลตัส, บิ๊กซี, แม็คโครและคาร์ฟูร์ ที่เนวินตัดสินใจเบื้องต้นว่ามีความผิดฐานมีพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และอยู่ระหว่างการตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาตัดสิน
"ผมเจอเขาเมื่อวานยังด่าประสาเพื่อนเลยว่า ไอ้เอี้ย! มาวางระเบิดไว้ให้ตูมากู้ ไอ้อ่า! ตูต้องแบกห่วงยางมากระทรวงไปครอบระเบิดที่มึนฝังไว้ แหม! มึนนี่มันเอี้ยจริงๆ กระบวนการคิดของเนวิน แต่ละเรื่องเป็นแมคโครที่ผมเห็นว่าไม่รอบด้านเลย"
สำหรับวัฒนา วิธีการเลี่ยงกับระเบิดกลับไม่ใช่การกู้ แต่เป็นการ 'เลี่ยง' ให้ไกลไปจากพื้นที่เสี่ยงภัยมากกว่า เขาตอบอย่างไม่ลังเลว่า กิจการใดก็ตามหากเขาในฐานะรัฐมนตรีช่วยฯ จะมีส่วนได้ส่วนเสียที่เรียกว่าเป็น Conflict of Interest เขาพร้อมที่จะถอนตัวออกจากการเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด แต่จะโอนเรื่องทุกอย่างให้รัฐมนตรีว่าการฯเข้ามาดำเนินการแทน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีค้าปลีก ไม่ว่าผลการพิจารณาจะออกมาอย่างไร แค่นี้ก็เห็นชัดว่า เหรียญที่เขาโยนนั้นมีแต่จะออก 'ก้อย-ก้อย' รังแต่จะเปลืองตัว
เช่นเดียวกับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ถูกซ่อนอยู่ใต้เก้าอี้ รมช.ตัวนี้ว่า คือสัญลักษณ์แห่งสัญญาลูกผู้ชายที่นายกฯทักษิณได้แสดงความรับผิดชอบต่อคำสัตย์หลังจากเคยลั่นวาจาว่า จะให้ตำแหน่งรัฐมนตรีแก่เขา ภายหลังที่ได้ผัดผ่อนมานานถึง 3 ฤดูจัดทัพคณะรัฐมนตรี ด้วยการมอบตำแหน่ง 'รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี' ให้เป็นทางเลือก
"เปล่า ผมจะได้เป็นรัฐมนตรีตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว คุณรู้ไหมผมอยู่ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่เท่าไหร่ ผม 94 ท่านประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ 93 คุณชูชีพ หาญสวัสดิ์ 95 คุณสิริกรณ์ มณีรินทร์ 96 ลำดับที่ 90 กว่าของไทยรักไทยถูกวางไว้ให้เป็นรัฐมนตรีหมดตั้งแต่แรก"
แต่ทำไมถึงไม่ปรากฏชื่อเขาในครั้งแรกนะหรือ วัฒนาบอกว่า เดิมทีนายกฯทักษิณเห็นชอบให้เขาเป็น รมช.เกษตรฯ เผอิญได้รับการร้องขอจากบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยให้มอบตำแหน่งดังกล่าวให้กับเนวิน ชิดชอบ ทว่า ท้ายที่สุดกลายเป็นเก้าอี้ของนที ขลิบทอง เพราะเนวินไม่สามารถมาได้ด้วยเงื่อนไขบางประการ
"ท่านก็บอกว่า งั้นไก่เป็นรัฐมนตรีทบวงก็แล้วกัน ผมปฏิเสธเพราะไม่ใช่งานที่ผมถนัด คนเราไม่ได้เป็นได้ทุกอย่างนะครับ ไม่เหมาะ หรือไม่ชอบผมก็ไม่เอา เพราะผมไม่ได้อยากเป็นรัฐมนตรี"
ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า การเมืองเป็นอะไรที่ลึกซึ้งมากกว่าสิ่งอื่น อย่างน้อยการที่คุณจะเป็นอะไรก็ตาม คุณต้องมีความเหมาะสมที่จะได้รับจริงๆ มันถึงจะยั่งยืน และสังคมถึงจะยกคุณขึ้น ที่สำคัญถึงคุณจะได้เป็น แต่ไม่มีทางหรอกที่เขาจะให้คุณนั่งนานถึง 4 ปี โดยเฉพาะนักการเมืองหน้าใหม่ เขาเชื่อว่า อย่างมากสามารถนั่งในตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 ปี หลังจากนั้นคงมีการปรับเปลี่ยนแน่นอน
"มันจึงอยู่ที่ว่า คุณจะเป็นก่อนหรือหลังเพียงแค่นั้น นี่คือสิ่งที่คุณจะต้องทำความเข้าใจ"
กระนั้น หลังได้เป็นรัฐมนตรีแล้ว สถานะของการเป็นรัฐมนตรีช่วยแบบเขามีหลักคิดสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจต่อตัวเอง ต่อสื่อ และผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นกัน
ต่อตัวเอง จะยึดมั่นกรอบคิดการบริหารแบบบูรณาการ กว่าจะ 'เคาะ' อะไรแต่ละครั้งจะต้องมีผลการศึกษารองรับ และจะต้องดูผลกระทบทางสังคม-ศีลธรรมด้วยทุกครั้ง
ต่อสื่อ จะไม่ตอบคำถามในสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบ มันเป็นมารยาท และป้องกันการครหาว่ากระสันจะทำงานเกินหน้าที่ เป็นจริยธรรมของนักการเมือง
และต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ฝึกให้ทุกคนคิดบริหารงานแบบองค์รวม ไม่ให้มองแยกส่วนแค่บริหารกรม แต่ให้คิดเสมอว่าทุกคนบริหารประเทศ
"เรื่องไหนที่ควรจะจบในระดับอธิบดีแต่จบไม่ได้ต้องมาถึงผมๆ จะปลดท่าน เพราะถือว่าเป็นอธิบดีที่บริหารงานสันดานเสมียนที่ไม่สามารถจัดการอะไรได้ ผมไม่ได้เป็นรัฐมนตรีทั่วไปแบบที่ชอบขอดูงานจากอธิบดีเสียทั้งหมด ถ้าเป็นอย่างนั้นนะโง่ เพราะสมองคุณแทนที่จะเอาเวลาไปคุยกับคนที่เขามีความรู้ แต่วันหนึ่งๆ กลับหมดไปกับการเซ็นแฟ้ม"
ทว่า สิ่งที่วัฒนากลับจงใจไม่พูดถึงเลยคือการทำความเข้าใจกับ 'ผู้บังคับบัญชา' ทั้งๆ ที่มีเสียงอิดออดเล็ดลอดออกมาจากห้องทำงานให้ 'แมลงวัน' ได้ยินกันหนาหูว่า ถูกกั๊กงานอย่างมาก ชนิดที่เรียกได้ว่า ตรายางประจำตำแหน่งคงไม่ได้แตะน้ำหมึก บนเนื้อหางานที่เขารับผิดชอบทั้ง 3 กรม ได้แก่กรมทรัพย์สินทางปัญญา, กรมการประกันภัยและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
"สังคมไทยเป็นสังคมที่พิเศษกว่าสังคมอื่นๆ ผมอยู่ในฐานะรัฐมนตรีช่วยฯ เป็นผู้รับ ไม่ใช่ผู้ให้ อย่าว่าแต่กับท่านรัฐมนตรีเลย กับนายกฯทักษิณผมยังไม่เคยถามว่าจะให้ผมเป็นรัฐมนตรีหรือเปล่า? เพราะผมไม่หน้าด้านพอที่จะไปนั่งต่อรอง นั่งขอ มันไม่ใช่วิสัยผม และผมเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร"
ถึงเวลาย้อนกลับไปดูภูมิหลังเขาแล้วครานี้
0 0 0
หลักไมล์แรกทางการเมืองของวัฒนา เมืองสุข ตั้งต้นตรงไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี บ้านเกิด
เขายังจำภาพ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน ขับฮาร์เล่ย์กลางตลาดของเมืองชายแดนช่วยเขาหาเสียงในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้งเขต 1 พรรคชาติพัฒนาเมื่อปี 2539 ได้ในฐานะหัวหน้าพรรค ก่อนจะสอบผ่านเดินเข้าสู่สภาหินอ่อนอย่างสง่าผ่าเผย
"การเมืองเป็นความชอบของผมมาตั้งแต่เด็ก ผมถูกพ่อมอบหมายหน้าที่อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ให้ฟังทุกเช้า มันเลยซึมมาตั้งแต่นั้น ทีผมมาในวันนี้ไม่ได้มาด้วยโชคแต่มาด้วยการลิขิตของผมเอง ลองไปถามอาจารย์ที่สวนกุหลาบได้ ผมเรียนนิติเพราะอยากเป็นนักการเมือง ทั้งที่สมัยนั้นคนเรียนเก่งมักเรียนหมอหรือไม่ก็วิศวะ ครูถึงพูดว่าผมเป็นคนที่ขีดชีวิตตัวเอง แล้วก็มาๆ ของมันจนได้น่านับถือ"
วัฒนาเข้าสังกัดพรรคชาติพัฒนาอย่างไม่ลังเลในยุคที่คนไทยสุขนิยมกับนโยบายแปรสนามรบเป็นสนามการค้าของ พล.อ.ชาติชาย โดยการแนะนำของ ดร.ปานปรีย์ มหิทธานุกร ผู้เป็นหลานชาย บวกกับเสียงการันตีอีกแรงจากเทวัญ ลิปตพัลลภ น้องชายสุวัจน์ ซึ่งเป็นรุ่นน้องนิติศาสตร์ ร่วมสำนักจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเดียวกัน ค่าที่เห็นเขาเป็นคนเรียนดี และเก่งกิจกรรมอย่างหาตัวจับยาก
พร้อมกับบอกอย่างไม่อายว่า เคยเป็นคนเลือดร้อนถึงขนาดชกต่อยกับเพื่อนนิสิตคณะครุศาสตร์มาแล้วระหว่างการแข่งขัน แน่นอน การทำกิจกรรมทำให้เขารู้จักคนมาก
ยิ่งถ้านับนิ้วไล่เรียงรัฐมนตรีในชุดทักษิณ 4 นี้ อย่างน้อยมีรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมรั้วสวนกุหลาบด้วยกันถึง 4 คน ได้แก่ จาตุรนต์ ฉายแสง, พล.อ.ธรรมรักษ์ ณ อยุธยา, เนวิน ชิดชอบ และน.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
.
.
"ผมไม่ได้เรียนอย่างเดียว แต่ผมทำกิจกรรมด้วย และไปอยู่ในกลุ่มเด็กที่อาจารย์บอกว่าเป็นพวกเอาเรื่องแต่ผมไม่เคยสอบตกสักครั้ง คะแนนของผมอาจไม่ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่โดยเแลี่ยแล้วผลการเรียนของผมอยูในกลุ่มเด็กเกรดเอ"
วัฒนาได้ชื่อว่าเป็นนักกีฬาตัวยง เขาเคยเป็นนักกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่สมัยเรียนสวนกุหลาบ เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ กระทั่งสู่ช่วงวัยหนุ่ม แม้จะอยู่ในทีมนักฟุตบอลมหาวิทยาลัยช่วงแข่งฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์เขาก็ยังเล่นในตำแหน่งเดิม
"ผมถึงเป็นคนที่มองอะไรแบบรอบตัวไง คนที่เป็นนายประตู ก็จะมองด้านเดียวคือสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า แม้แต่ศูนย์หน้าก็เถอะ แต่ผมเป็นกองกลางตำแหน่งเดียวกับริวัลโด้ทีม- -คือเป็นตัวจ่าย พอได้บอลมามีหน้าที่จ่ายลูก เลยต้องดูให้รอบ ว่าใครควรจะได้เล่นหรือไม่ควรเล่น มันเลยกลายเป็นบุคลิกที่ติดตัวมาจนถึงการทำงาน"
วัฒนาบอกว่า ผลของการถูกโหวตให้เป็นดาวสภาตั้งแต่สมัยแรก จากการอภิปรายในประเด็น Securitization ซึ่งเป็นประเด็นการเงินซัดกันนัวกับนักการเมืองซีกพรรคประชาธิปัตย์
และวันเผาศพ พล.อ.ชาติชายเจ้านายเก่า ก็คือวันที่เขาได้พบกับเจ้านายใหม่เป็นครั้งแรก
"ท่านเดินมาหาท่านกร ทัพพะรังสี ถามหาผมว่า ส.ส.ปราจีนฯ ที่อภิปรายเมื่อคืนนี้ คนไหนครับ ผมอยากรู้จัก พูดดีมากนะ เลยได้รู้จัก"
กับอีก 2 ครั้งเป็นการทักทายสั้น ๆ หลังจากนั้น ที่ประทับใจคือมีอยุ่ครั้งหนึ่งได้แนะนำให้เขาได้รู้จักกับคุณหญิงพจมานด้วย ว่าเป็นคนรุ่นใหม่มีความรู้ น่าคบหา ทั้งๆ ที่คุณหญิงเตรียมตัวจะออกรสอยู่แล้ว กระทั่งถูกเชิญให้ไปพบที่พรรคอย่างเป็นทางการเมือง 14 กรกฎาคม 2543 ซึ่งตอนนั้นพอจะทราบว่า เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนของการทาบทามอย่างจริงจัง
"แทนที่ท่านจะถามผมผมกลับถามท่านว่า พี่คิดยังไงกับบ้านเมือง โดยไม่ได้ถามเลยว่าจะให้ผมเป็นอะไร หรือจะให้อะไรผม พอท่านบอกไก่มาเป็นปาร์ตี้ลิสต์เถอะ คุณมันครบเครื่อง อภิปรายก็ได้ บริหารก็ได้ มีโอกาสเป็นถึงรัฐมนตรี ผมก็ตกลงทันทีและบอกว่ามีข้อแม้อย่างเดียว คือห้ามเปลี่ยนใจ ท่านถึงค่อยยิ้ม"
อย่างไม่ได้ตั้งใจจะให้ลูกน้องเก่าอย่างเขาวัดรอยเท้าของเจ้านายทั้งสองคน แต่โดยข้อเท็จจริง การที่ใครคนใดจะมีโอกาสได้รับใช้ใกล้ชิดอดีตนายกรัฐมนตรีไทยถึง 2 คนย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา วัฒนาเลยไม่บ่ายเบี่ยงที่จะเปรียบเทียบคุณสมบัติเด่นที่แตกต่างระหว่างสองนายให้ฟังว่า
ถ้าเทียบแล้วคิดว่า นายกฯทักษิณเก่งกว่าพล.อ.ชาติชาย ทั้งนี้ พิจารณาจากภูมิหลังทางการศึกษา อย่าลืมว่า ทักษิณเป็นดอกเตอร์นักเรียนทุน และเป็นคนไฝ่รู้ อ่านหนังสืออยู่ตลอดเวลา ลองได้สนใจอะไรแล้วจะเอาใจจดจ่อกับสิ่งนั้น เรียกว่าเป็นคนสนใจเชิงลึก
ในขณะที่อดีตนายกฯชาติชายเก่งแบบคึกฤทธิ์คือเก่งในเชิงกว้าง แต่ไม่ลงลึก เป็นคนคล่องในการบริหาร และชอบที่เป็นคนมองโลกในแง่ดี ทั้งยังเปิดโอกาสให้มีชื่อเขาในเวทีการต่อสู้ทุกเวทีมาตั้งแต่ยังเป็น ส.ส.สมัยแรก
แต่จุดที่สองผู้นำมีเหมือนกันคือ การบริหารงานในแบบซีอีโอที่มีการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว คิดอย่างรอบด้าน และให้อำนาจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
ถามว่า บนถนนสายการเมือง เขาติดหนี้บุญคุณใครบ้างไหม? วัฒนาตอบทันทีว่า สมาน ภุมมะกาญจนะ ส.ส.ปราจีนบุรีสอบตกแห่งพรรคไทยรักไทย ที่ถือเสมือนเป็นพี่เลี้ยงเขาในการลงสนามเลือกตั้งครั้งแรก
กับอีกคนที่ลืมไม่ได้คือคำนวณ ชโลปถัมภ์ ส.ว.ลพบุรี ซึ่งเป็น 'นายจ้าง' คนแรกในชีวิตการเป็น 'หมอความ' ของเขา
นี่ยังไม่นับคนเก่งอีกมากที่อยู่ในฐานะของการเป็นครูอาจารย์ที่วัฒนาพร้อมจะเอ่ย ไม่ว่าจะเป็น ดร.วิษณุ เครืองาม, จรัล ภักดีธนากุล, ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
"ผมถึงบอกว่าชีวิตผมโชคดีที่ได้อยู่ใกล้คนเก่ง"
ยัง.. ยังมีคนเก่งอีก 2 คน ที่วัฒนากำลังจะกล่าวถึง
0 0 0
บางทีเส้นแบ่งของคำว่า 'บุพเพสันนิวาส' นั้น หาได้ไกลห่างไปจากกลิ่นอายของนิยายในแนวที่เรียกว่า 'Soap opera' นัก
สถานะของเขยซีพี มาจากการตัดสินใจแต่งงานกับ พัชรา เจียรวนนท์เมื่อปี 2535 ภายหลังที่ดูใจกันมา 2 ปี นับแต่วันพบกันครั้งแรกในฐานะที่ฝ่ายหญิงเป็น 'ลูกความ' ฝ่ายชายเป็น 'ทนาย'
"มันมีคดีในศาลผมเป็นทนายให้ลูกความผมซึ่งไปก่อสร้างไปทิ้งเศษไม้เศษไร่ลงในที่ดินคุณแม่เขา ส่วนเขามาเป็นผู้รับมอบอำนาจให้คุณแม่เขา ผมไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นลูกใคร ผมไปเจรจาประนีประนอมเลยรู้จักกัน ผมเป็นคนแบบนี้ ก็ไม่ได้โรมานซ์อะไร บอกว่าอั๊วชอบลื้อ หลังจากนั้นก็คบกัน"
วัฒนาจำได้ว่า สมัยเขาเป็นทนายความ เขาเน้นการประนีประนอมอาจนำมาซึ่งความประทับใจ และไม่เคยกลัวว่าจะไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวฝ่ายหญิง เขากล้าถึงขนาดเป็นเถ้าแก่ใตัวเองไปเจรจาขอลูกสาวจากเจ้าสัวสุเมธถึงตึกซีพีทาวเวอร์
ทั้งๆ ที่ภูมิหลังชีวิตของเขานั้น ต่างจากว่าที่เจ้าสาวลิบลับ
วัฒนา เกิดในครอบครัวเกษตรกรที่มีคุณพ่อนายย้อมเป็นชาวสวนทุเรียน คุณแม่นางนวรัตน์เป็นชาวนา และมีกิจการรถ บขส.ขนส่งข้ามจังหวัดระหว่างนครนายก-ปราจีนบุรีอยู่ 2 คัน ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าไม่ได้ร่ำรวยนักเป็นลูกคนโตในจำนวนพี่น้อง 3 คน
ด้วยความใฝ่เรียน เขาเป็นเด็กเรียนเก่ง มีความมุมานะอยากเข้ามาเรียนมัธยมในโรงเรียนอันดับ 1 ของประเทศ ณ ขณะนั้น เมื่อสอบเข้าสวนกุหลาบได้เลยติดปีกดีใจ เลยตัดสินใจมาพักอาศัยอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์ เล่นกีฬาหาเลี้ยงชีพก็เคยจนเข้ามหาวิทยาลัย
และเรียนดีกระทั่งสามารถสอบเนติบัณฑิตได้เป็นลำดับที่ 7 ของประเทศ
"ผมคิดว่าการศึกษาเท่านั้นที่ทำให้ผมยืนในสังคมได้ ผมเลยไฝ่เรียน แต่ผมมีข้อเยคือผมไม่ยอมคน เวลาไม่พอใจชกต่อยไม่เคยกลัวใคร แต่จบแล้วก็จบ"
จุดนี้กระมัง ทำให้เขาเป็นคนหนุ่มที่มีบุคลิกของความกล้า และการที่ผ่านการใช้ชีวิตแบบเด็กวัดมาก่อน จึงทำให้เป็นคนสู้คน
"ผมเป็นคนไม่ยอมคนแต่จะยอมเป็นคนๆ ให้กับคน 3 กลุ่มเท่านั้น ได้แก่ คนเก่ง, คนดีและคนที่รักผม กับภรรยาผมถึงยอมไงล่ะครับ แถมกล้าบอกด้วยว่าผมเป็นคนกลัวเมีย"
คนใกล้ชิดจะทราบว่า วัฒนาเป็น 'แฟมิลี่แมนตัวจริง' คนหนึ่ง ว่างเป็นเมือ่ไหร่ต้องโทรศัพท์ไปทักทายลูกและคุณแม่ของลูกทันที เขามีโซ่ทองคล้องใจกับ 'พัชรา เจียรวนนท์' ด้วยกัน 3 คน ดังนี้
คนโต ด.ญ.เพ็ญพิชชา อายุ 10 ขวบ คนนี้ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของพี่ชายภรรยาตามคำขอ คนกลาง ด.ช.ดิศญุตม์ อายุ 7 ขวบ คนเล็ก ด.ญ.วีรดา อายุ 5 ขวบ ลูกทุกคนใช้นามสกุล 'เจียรวนนท์' ยกเว้นลูกสาวคนเล็กเท่านั้นที่ใช้ 'เมืองสุข'
ทีเป็นเช่นนี้เพราะเขายังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับภรรยา ไม่ได้หมายความว่าเตรียมพร้อมผ่องถ่ายทรัพย์สินไม่ให้ถูกตรวจสอบบัญชีสินทรัพย์ แต่เป็นไปตามความเชื่อของครอบครัวที่บอกว่า เกณฑ์แต่งงานของภรรยาจะต้องเลยอยู่ในวัย 48 ฉะนั้น ทว่า สิ่งนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการครองชีวิตคู่
ยิ่งมีแต่จะได้รับการหนุนนำจากเครือญาติของภรรยา โดยเฉพาะกับ 'อาเจ็ก-ธนินท์ เจียรวนนท์' ผู้พร้อมจะเป็นโค้ชทางการค้าระหว่างประเทศให้เขาอยู้หลังฉาก แม้วัฒนาไม่บอก แต่ดังที่เขากล่าวไว้ในตอนแรกถึง 'ความพร้อม' ที่อยู่ข้างหลังคือเหตุแห่งความวิตกกังวลของหลายๆ ฝ่าย
"ผมมีเวลาที่จะอยู่กับการเมืองเพียงแค่ช่วงหนึ่ง เพราะการทำงานการเมืองมันเหนือยมาก มีเวลาให้กับครอบครัวน้อยลง คุณไม่จำเป็นจำต้องเชื่อผมวันนี้ ให้ดูผมไปอีกสัก 2 ปี ผมจะไม่ยึดติดกับตำแหน่งใดๆ เพราะตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้ทำให้ผมร่ำรวยขึ้น ใหญ่โตขึ้น มีคนรู้จักผมมากขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้ผมมีหมดแล้ว"
ลองจับตาดูว่า บริบทชีวิตนักการเมืองของวัฒนาต่อไปจะเป็นอย่างไร วันนี้เขาอาจไม่ได้อยู่ใต้เงาของ 'ซีพี' ก็จริง แต่มันไม่สำคัญเท่ากับว่า ทุกอย่างมันอยู่ในสายเลือดของเขาแล้ว