วันพุธ, เมษายน 27, 2559
กลาโหม ร้อน – จันทร์โอชา ระอุ “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” จับตาขบวนการ ต้าน คสช. ตามล่า “ทหารแตงโม”
ที่มา มติชนออนไลน์
25 เม.ย. 59
มติชนสุดสัปดาห์
22 เม.ย. 59
กลาโหม ร้อน – จันทร์โอชา ระอุ “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” จับตาขบวนการ ต้าน คสช. ในกองทัพ ตามล่า “ทหารแตงโม” ถอดรหัส “พี่ใหญ่” ขาเจ็บแต่ไม่ถอดใจ
ปรากฏการณ์ เอกสารลับของกองทัพ หลุดออกมาในโลกโซเชียลฯ บ่อยครั้ง กำลังเป็นสัญญาณเตือนให้ทั้ง บิ๊กตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. รวมทั้งบิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ได้รู้ว่าทหารในกองทัพทั้งหมด ไม่ใช่จันทร์โอชา หรือวงษ์สุวรรณ
แต่ยังมี “ทหารแตงโม”…
โดยเฉพาะกรณี เอกสารบรรจุ “ป้อง” ปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา ลูกชายคนเล็กของบิ๊กติ๊ก พลเอกปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชายของนายกฯ เป็นนายทหาร หลุดออกมา และถูกแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ในเพจที่เป็นที่รู้กันว่าเป็นฝ่ายต่อต้าน คสช.
งานนี้ทั้ง นายกฯ บิ๊กตู่ บิ๊กป้อม และตัวบิ๊กติ๊ก พลเอกปรีชา เอง ถึงขั้นสงสัยตรงกันว่า “ใคร” ที่เป็นมือดี นำเอกสารลับไปส่งให้ฝ่ายตรงข้าม เพื่อมาเล่นงานตระกูล จันทร์โอชา
แม้ในเพจที่เผยแพร่เอกสารนี้ จะหยอดท้ายไว้ให้คิดว่า “คนที่ไว้ใจ สุดท้าย ร้ายที่สุด” นั้น ต้องการจะบอกอะไร หรือหวังผลในการสร้างความหวาดระแวงในหมู่ คสช. ด้วยกันเอง หรือทหารด้วยกันเอง หรือคนใกล้ชิดของ คสช.
แต่ก็ทำให้กระทรวงกลาโหมร้อน เพราะทั้ง พลเอกประวิตร เจ้ากระทรวงปืนใหญ่ และ พลเอกปรีชา สั่งให้มีการตรวจสอบและหาข่าวในเชิงลึก ว่าเอกสารลับนี้ หลุดออกมาได้อย่างไร จากจุดไหน
เพราะในทางทหารแล้วเขาพอจะสันนิษฐานได้
โดยเฉพาะ กรมเสมียนตรา ซึ่งเป็นหน่วยที่ดูแลเรื่องงานเอกสาร สารบรรณ หนังสือต่างๆ เพราะพลเอกปรีชา ในฐานะปลัดกลาโหม ทำการแทน รมว.กลาโหม เพิ่งลงนามเมื่อ 11 เมษายน 2559 แค่ไม่กี่วันเอกสารก็หลุดออกมา
นี่จึงทำให้ นายทหารแตงโม ที่เป็นสายอำนาจเก่าในกระทรวงกลาโหม ถูกจับตามองอีกครั้ง หลังจากที่อยู่กันแบบสงบเงียบกันมาตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และการเด้งบิ๊กแป๊ะ พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก พ้นเก้าอี้ปลัดกลาโหม เข้ากรุไปเป็นประธานที่ปรึกษากลาโหม เพราะเขาถูกแต่งตั้งในยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ และ รมว.กลาโหม
แต่ พลเอกนิพัทธ์ ก็ลดบทบาทมาตลอด ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวใดๆ ในกลาโหม ทำหน้าที่ของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และระวังตัวมาตลอด ในการที่จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวใดๆ ที่เกี่ยวข้องการเมือง
แต่มีการย้อนมองไปถึงนายทหารแตงโมที่ฝังรากลึกไว้สมัยบิ๊กเปี๊ยก พลเอกเสถียร เพิ่มทองอินทร์ เป็นปลัดกลาโหม และยุคบิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เพื่อนรัก ตท.10 ของ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็น รมว.กลาโหม
งานนี้ ทั้งปีกทำเนียบรัฐบาลของนายกฯ บิ๊กตู่ และสนามไชย 1 ของบิ๊กป้อม ก็สั่งตรวจสอบเป็นการภายใน ว่าเอกสารต่างๆ หลุดออกมาได้อย่างไร
เพราะนอกจาก “ทหารแตงโม” จะเป็นจำเลยที่ 1 แล้ว นายทหารที่เป็นคู่แข่งของสายบูรพาพยัคฆ์ ก็อยู่ในข่ายที่ถูกจับตามอง
รวมถึงนายทหารที่ได้ชื่อว่าเป็นพวกเดียวกัน ใกล้ชิดสนิทสนม แต่อาจไม่พอใจอะไรบางอย่าง ในสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ ได้ทำไว้
เป้าหมายคราวนี้จึงกลายเป็น “จันทร์โอชา”…
แน่นอนว่างานนี้ พลเอกปรีชาและลูกชาย เป็นแค่เป้าหมายรอง แต่ทว่าเป้าหมายหลักอยู่ที่พลเอกประยุทธ์
เพราะมีการขุดย้อนไปถึงเรื่องการชี้แจงบัญชีทรัพย์สินของพลเอกปรีชา เมื่อครั้งที่มาเป็น สนช. และบัญชีออมทรัพย์ของกองทัพภาค 3 ที่ฝากในชื่อของภริยา
คราวนี้ ทั้งพลเอกปรีชาและคุณอู๊ด ผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภริยา ร้อนใจที่สุด ในฐานะพ่อแม่ เพราะเกรงว่าทำให้ พลเอกประยุทธ์ เดือดร้อน ถูกโจมตี
รวมทั้งทำให้ลูกชายไม่สบายใจ ในการที่จะเข้าทำงานเป็นนายทหารปฏิบัติการด้านกิจการพลเรือน กองทัพภาค 3
“เดิม “ป้อง” เขาไม่ได้อยากจะเป็นทหารหรอก แต่เราก็มานั่งคุยกัน เห็นว่างานที่เขาทำอยู่ไม่มั่นคงนักเพราะยังเป็นแค่ลูกจ้าง แล้วจังหวะที่มีตำแหน่งนี้ว่างที่กองทัพภาค 3 ก็จึงอยากให้เขาเป็นทหาร” พลเอกปรีชา เล่า
ที่สำคัญ เพราะในครอบครัวของเรา ลูกๆ หลานๆ ไม่มีใครเป็นทหารเลย เพราะในบรรดาพี่น้องของเราก็มี เราเป็นทหาร 3 คน คือ ท่านนายกฯ พลเอกประยุทธ์ มาผม และ พล.อ.ต.หญิง ประกายเพชร จันทร์โอชา เท่านั้น
เพราะลูกชายคนโต นายปฐมพล จันทร์โอชา หรือป้อม ก็ทำธุรกิจ ไม่คิดอยากเป็นทหาร คนนี้ซน เพราะตอนเด็กให้ไปอยู่กับปู่ย่า เลยมีชื่อว่า “กบ” ที่ตอนนี้มีลูกสาว 2 คน ที่ทำให้พลเอกปรีชา ได้เป็นคุณปู่ติ๊กของหลานวีว่าและวีด้า
ส่วนน้องพลอยและน้องเพลิน ธัญญา และ นิฏฐา จันทร์โอชา ลูกสาวฝาแฝดของพลเอกประยุทธ์ ก็ยิ่งไม่คิดอยากเป็นทหาร เพราะออกแนว “อาร์ติสต์”
โดย พลเอกประยุทธ์ นั้นบอกเองว่าลูกสาวไม่เคยคิดอยากเป็นทหาร เพราะเห็นพ่อลำบาก เขาก็อยากเป็นลูกผมอย่างเดียวเขามีความสุขแล้ว พอเพียงแล้ว ทำงานของเขา ออกแบบเสื้อกีฬา เสื้อสำหรับขี่จักรยาน ขายในเว็บไซต์ของเขาไป
แต่พอบิ๊กติ๊กมาเห็นมีตำแหน่งว่าง และตรงกับคุณสมบัติของลูกชาย ที่จบนิเทศศาสตร์ และทำงานด้านมวลชนที่ ปตท. และทำงานกับสื่อในพื้นที่มาก่อนด้วย พลเอกปรีชา จึงมานั่งคุยกล่อมลูกให้เป็นทหาร อย่างน้อยก็ให้มีสายเลือดจันทร์โอชาเป็นทหารสักคน จนที่สุดลูกชายก็ยินยอม
แต่เมื่อกลายเป็นข่าว และถูกโจมตีเช่นนี้ ก็ทำให้นายปฏิพัทธ์ ไม่มั่นใจในตัวเอง เขาเข้าไปแก้ไขข้อความและลบโพสต์หลายโพสต์และภาพหลายภาพในเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขา ที่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้วเพราะมีคนเข้าไปไล่ดูโพสต์เก่าๆ มากมาย
แต่ก็พบว่าเขาก็เป็นทั้งนักกีฬาและนักดนตรี ที่มีความเป็นอาร์ติสต์ มีอารมณ์อ่อนไหวไม่น้อย
“ป้องเขาชอบเล่นฟุตบอลมาก” บิ๊กติ๊กเผยถึงลูกชายว่าที่ร้อยตรีปฏิพัทธ์ ที่เป็นสาวกแมนฯ ยู ถึงขั้นที่ให้ทั้งบ้านใส่เสื้อแมนฯ ยู
“เขาเล่นดนตรีด้วย” บิ๊กติ๊กเผย เพราะหากดูในเฟซบุ๊กก็จะเห็นว่าเขาถ่ายคลิปตนเองร้องเพลง เล่นดนตรี ลงเสมอๆ
“แต่พอมาเป็นข่าว ป้องเขาถามว่า พ่อ แล้วป้องจะไปทำงานยังไง ป้องจะเดินยังไง” บิ๊กติ๊กเล่าความรู้สึกลูกชาย
โดยที่ผู้เป็นพ่อให้คำตอบว่า “ก็ไปทำงานตามปกติ ไม่เป็นไร เพราะเรามาอย่างถูกต้อง ก็ทำให้คนเห็นฝีมือของเรา และทำงานเต็มที่ พิสูจน์ตัวเอง”
แต่ทว่าเรื่องนี้ถูกทำไม่ให้จบง่ายๆ ทั้งการปลุกกระแสเรียกร้องให้นายปฏิพัทธ์ ลาออกจากการเป็นทหาร และมีการฟ้อง ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบจริยธรรม ในฐานะที่ พลเอกปรีชา เป็น สนช.
แน่นอนว่า กรณีนี้ทั้ง พลเอกประวิตร ในฐานะ รมว.กลาโหม ออกมาช่วยชี้แจงว่า “เป็นเรื่องธรรมดา” ไม่เห็นเป็นไรเลยที่ลูกชายปลัดกลาโหม จะเข้ารับราชการทหาร เพราะทำตามขั้นตอนถูกต้อง อีกทั้งอำนาจ รมว.กลาโหม จะรับใครมาเป็นทหารก็ได้ทันที
ส่วนพลเอกประยุทธ์ ในฐานะพี่ชายที่แสนดี และคุณลุงตู่ของหลานป้อง ก็มองว่าเป็นเพราะนามสกุล “จันทร์โอชา” จึงถูกตัดตอนเอามาโจมตี ทั้งๆ ที่ปีๆ หนึ่งมีการบรรจุบุคคลเข้าเป็นนายทหารเป็นร้อยคน แถมไม่ได้เปิดอัตราใหม่เพื่อหลานชาย
ถึงขั้นที่บิ๊กตู่เปรยๆ ว่า “หรือต้องให้ผมเปลี่ยนนามสกุล ไม่ใช้จันทร์โอชา มั้ย จะได้หมดเรื่อง”
เช่นเดียวกับ พลเอกปรีชา ก็มองว่าถ้าไม่ใช่นามสกุลจันทร์โอชา ก็คงไม่ถูกขุดคุ้ยออกมาเป็นข่าว ถูกนำเอกสารมาเผยแพร่แบบนี้
ตามประสาน้องชายคนเล็ก เมื่อเกิดเรื่องก็ต้องบอกกล่าวพี่ชายที่แสนดี ที่บิ๊กตู่ก็ไม่ได้ว่าอะไรน้องชาย เพราะรู้ว่าทำตามระเบียบ มีคณะกรรมการคัดเลือก แต่ปลัดกลาโหม เป็นคนลงนามตามที่ รมว.กลาโหม มอบหมายเท่านั้นเอง
แต่ก็อดเปรยๆ ถึงน้องชายไม่ได้ว่า “ไอ้นี่มันก็ซื่อ จริงๆ ไม่ควรเซ็นด้วยซ้ำไป แต่มันก็ไม่ได้ จะให้คนอื่นเซ็นเพราะเป็นเรื่องของกฎหมาย”
เพราะที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์มักบ่นๆ เรื่องความซื่อๆ ของพลเอกปรีชา น้องชายมาเสมอๆ เมื่อเกิดเรื่อง ตกเป็นข่าว ตั้งแต่เรื่องการชี้แจงบัญชีทรัพย์สิน มรดก นั่นแล้ว
แม้แต่การที่ พลเอกปรีชา ตอบสื่อไปว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น ไม่ใช่กรณีลูกชายของตนเองคนเดียว
ที่ทำให้บรรดานายทหารที่เป็นลูกบิ๊กทหาร พลอยถูกจับตามองและคุ้ยย้อนหลังกันมาวิพากษ์วิจารณ์กันอีก
แต่คราวนี้ พลเอกประยุทธ์ ยืนกรานในความถูกต้องในการบรรจุหลานชายเป็นนายทหาร แล้วมองหาขบวนการล้มล้าง คสช. ในกองทัพ อันมีเรื่องเอกสารหลานชาย คราวนี้หลุดออกมาเป็นเครื่องยืนยัน ว่าฝ่ายต่อต้าน คสช. ไม่ได้มีแค่ในฝ่ายการเมือง พรรคการเมือง กลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ เท่านั้น แต่ยังมีทหารในกองทัพด้วย
กระทรวงกลาโหม จึงร้อนฉ่าหลังเอกสารหลุด เพราะต่างฝ่ายต่างกลัวว่าจะถูกสงสัยว่าเป็นมือปล่อยเอกสาร โดยเฉพาะนายทหารที่ใกล้ชิดกับนายทหารในสายอำนาจเก่าในกลาโหม ทั้งๆ ที่พวกเขาอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ เลย
แต่เรื่องในกลาโหมร้อนๆ ไม่ได้มีแค่เรื่องการตามล่าหาขบวนการต่อต้าน คสช. ในกลาโหมเท่านั้น แต่ข่าวที่กำลังสะพัด คือการถอดใจของ พลเอกประวิตร
แม้ที่ผ่านมาในช่วง 2 ปี หลังการรัฐประหาร และมาเป็นรัฐบาล คสช. พลเอกประวิตร จะบ่นเหนื่อยมาก แต่ก็ต้องอดทน เพราะได้รับปากที่จะช่วย พลเอกประยุทธ์ ทำงานไว้แล้วต่อไปก็ตาม
แต่ด้วยเรื่องสุขภาพของนายทหารวัย 71 ปี ที่มีน้ำหนักไม่น้อย อีกทั้งเคยประสบอุบัติเหตุล้ม จนทำให้เดินขากะเผลกจนทุกวันนี้นั้น อาจมีส่วนที่ทำให้ พลเอกประวิตร เริ่มคิดถอดใจ
เพราะการที่ พลเอกประวิตร ขาเจ็บนั้น ไม่ใช่แค่เพราะการล้ม แต่เพราะมีปัญหาเรื่องความดันโลหิต และหลอดเลือดด้วย จึงทำให้ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา พลเอกประวิตร แอบบินเงียบไปต่างประเทศ 2 สัปดาห์ โดยมีการปกปิดว่าไปไหน ทำอะไร
ถึงขั้นที่ พลเอกประวิตร ไม่ได้เข้าไปรดน้ำขอพรสงกรานต์ป๋าเปรม พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ พร้อม พลเอกประยุทธ์ ครม. และ ผบ.เหล่าทัพ จนทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าจงใจเลี่ยง ไม่มางานนี้หรือไม่
เพราะในสถานการณ์ที่มีความพยายามในการที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง หวาดระแวงกันระหว่าง สายบูรพาพยัคฆ์ และ สายบ้านสี่เสาฯ มีมาตลอด นับตั้งแต่มีเรื่องตำรวจฟ้องร้อง พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีต ทส.ป๋าเปรม เรื่องกล่าวหาการซื้อขายตำแหน่งในการโยกย้ายตำรวจนั้น พลเอกประยุทธ์ และ พลเอกประวิตร ควรจะต้องแสดงความแนบแน่นกับพลเอกเปรม เพื่อสยบข่าวลือนี้
แต่ด้วยความจำเป็นที่ พลเอกประวิตร จะต้องไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ เพราะได้นัดกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ไว้แล้ว ในการรักษา และต้องใช้เวลาในการพักฟื้นพักผ่อนด้วย จึงต้องไปตามกำหนด โดยที่ พลเอกประยุทธ์ ก็แจ้งให้ พลเอกเปรม รับทราบและเข้าใจ
เพียงแต่ พลเอกประยุทธ์ มาเฉไฉกับสื่อว่า พลเอกประวิตร ไปภารกิจต่างประเทศ ขอให้ไปทำงานต่างประเทศ
ในที่สุดเมื่อกลับมา พลเอกประวิตร ก็เปิดเผยแค่ว่าไปหาหมอรักษาตัวมา แต่ไม่ขอบอกว่าที่ไหน แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ข่าวในกลาโหม และบ้าน ร.1 รอ. สะพัดว่า พลเอกประวิตร ถอดใจ อยากที่จะวางมือแล้ว ทั้งด้วยเรื่องสุขภาพ ร่างกาย และมองไม่เห็นหนทางที่จะแก้ปัญหาชาติบ้านเมืองได้ แม้ว่า พลเอกประยุทธ์ จะทุ่มเท เสียสละ ทำทุกอย่าง แต่ในบางเรื่องก็อาจมีแนวคิดไม่ตรงกัน
จนถึงขั้นที่ พลเอกประวิตร ถามทีมงานที่ใกล้ชิดที่ทำงานมาด้วยกันว่า “ยังไหวมั้ย” “ถ้าเราไป ก็ไปด้วยกัน” ที่ทำให้เกิดความฮือฮาว่าเป็นการส่งสัญญาณใดหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม ขุมข่าวใกล้ชิดเชื่อว่า พลเอกประวิตร ไม่มีวันทิ้ง พลเอกประยุทธ์ เพราะร่วมหัวจมท้ายกันมา และสัญญากันไว้แล้ว ก็ต้องเดินจูงมือกันไปให้สุดทาง ให้ถึงการเลือกตั้งปี 2560 แล้วตอนนั้น พลเอกประวิตร ก็ขอไปอยู่เบื้องหลัง
แม้ว่าจะมีข่าวสะพัดถึงแรงหนุนฝ่าย บ้าน ร.1 รอ. และนักการเมือง ที่จะให้ พลเอกประวิตรเตรียมตัวเป็นนายกรัฐมนตรี คนนอก ในท้ายที่สุดก็ตาม
แต่ พลเอกประยุทธ์ ก็ออกมาสยบข่าว ทั้งการตั้งพรรคทหาร พรรคนอมินี หรือการเตรียมหานายกฯ คนนอก ที่เป็นพลเรือน นักการเมือง และทหาร ไว้แล้ว หรือแม้แต่การเตรียมเป็น นายกฯ คนนอก ไม่ว่าตนเองหรือ พลเอกประวิตร
เพราะสำหรับ พลเอกประวิตร แล้ว น้องๆ ในกองทัพ ตำรวจ และข้าราชการ ต่างก็เห็นใจ เพราะอายุมากแล้ว สุขภาพก็ไม่ค่อยดี เวลาเดินเหินน้องๆ ก็จะคอยลุ้นให้กำลังใจ และเตรียมพร้อมที่จะเข้าประคอง แต่พลเอกประวิตร นั้นก็พยายามที่จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของตนเอง โดยไม่ยอมให้ใครประคองหรือคอยจับแขน และพยายามลุกขึ้นยืนด้วยตนเอง เพื่อให้สมาร์ต เพราะเขาก็เป็นนายทหารนักรบบูรพาพยัคฆ์อันเลื่องชื่อมาคนหนึ่งเหมือนกัน
ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่า พลเอกประวิตร เห็นว่ามีบิ๊กโด่ง พลเอกอุดมเดช สีตบุตร เป็น รมช.กลาโหม ช่วยงานได้เต็มที่แล้ว อีกทั้งตอนนี้ปัญหาเรื่อง อุทยานราชภักดิ์ก็คลี่คลายไปแล้ว ผลสอบของคณะกรรมการทุกชุดไม่พบการทุจริต
แต่ทว่าที่เป็นห่วงคือ พลเอกอุดมเดช ยังไม่ได้มีบารมีเทียบเท่า พลเอกประวิตร เพราะทุกวันนี้ ที่กองทัพที่มีกลุ่ม ขั้วต่างๆ ไม่ว่าจะวงศ์เทวัญ บูรพาพยัคฆ์ ทหารเสือราชินี รบพิเศษ ยังอยู่ด้วยกันได้นั้น ก็เพราะบารมีของพี่ชายที่แสนดี พลเอกประวิตร พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ คนนี้ที่เอาอยู่ ทั้งทหารในกองทัพ และสีกากี แวดวงตำรวจ
ดังนั้น พลเอกประวิตร จึงต้องให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองมากขึ้น เพื่อที่จะได้อยู่ดูแลกองทัพต่อไป จนกว่าจะปล่อยมือได้ เพราะแม้จะมีอดีตบิ๊กทหารในกองทัพหลายคนที่เกษียณราชการ แต่ก็ยังไม่เห็นว่ามีใครเหมาะที่จะเป็น รมว.กลาโหม ได้อย่างพลเอกประวิตร
จะมีก็แต่ พลเอกประยุทธ์ เท่านั้น ที่หาก พลเอกประวิตร ถอดใจ หรือมีปัญหาสุขภาพ ก็คงต้องควบทั้ง นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. และ รมว.กลาโหม เลยทีเดียว
สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้…