วันเสาร์, เมษายน 02, 2559

จม.เปิดผนึกถึง คุณปู่มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. จากหลาน เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์





ก่อนอื่น หลานต้องขออภัยที่ไม่ได้ส่งจดหมายหรือเข้าไปเยี่ยมเยียนที่อาคารรัฐสภาเลย ด้วยคิดว่าเดี๋ยวนี้คุณปู่ก็มีตำแหน่งใหญ่โต เป็นถึงประธานคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) คงจะมีภารกิจต้องร่าง “รัฐธรรมนูญฉบับต้านทุจริต” อยู่ หลานเป็นแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดา ถึงจะเข้าไปหา คุณปู่ก็คงจะไม่มีเวลาออกมาพบ

ที่หลานเขียนจดหมายถึงคุณปู่ในวันนี้ ก็เพื่อที่จะเรียนว่า หลานได้ชมคลิปที่คุณปู่ให้สัมภาษณ์กับพี่ ๆ สื่อมวลชนเรื่องสวัสดิการเรียนฟรี 12 ปีในร่างรัฐธรรมนูญแล้ว หลานจึงขอบังอาจแสดงความกังวลเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับถ้อยคำที่คุณปู่ได้ให้สัมภาษณ์ ดังนี้

ประการแรก คุณปู่ชี้แจงว่า รัฐธรรมนูญจำต้องให้ความสำคัญกับการดูแลพัฒนาการของเด็กช่วงอายุ 2-5 ปี เพื่อที่เด็กจะได้มีพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน ในข้อนี้ หลานไม่ปฏิเสธความสำคัญของการศึกษาภาคปฐมวัย เพราะการเติบโตของเด็กเล็กเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่คุณปู่ก็อย่าลืมว่า การศึกษาในระดับชั้น ม.ปลาย และสายอาชีพก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

คุณปู่อย่าลืมว่า เด็กนั้นต่อให้มิได้เข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลก็ยังสามารถมีพัฒนาการที่สมวัยได้ เนื่องจากเด็กในวัย 2-5 ปีที่คุณปู่กล่าวอ้างนั้น ควรจะเรียนรู้ด้วยการเล่นอยู่แล้ว พ่อแม่หรือชุมชนสามารถจัดการศึกษาในระดับนี้เองไม่ยากนัก แต่หากเยาวชนของเราไม่มีโอกาสเข้าศึกษาในโรงเรียนมัธยมปลายหรืออาชีวะศึกษา ก็ยากที่จะได้รับการศึกษาต่อไปได้ ด้วยครอบครัวและชุมชนนั้น ไม่สามารถจัดการศึกษาในระดับนี้ทดแทนได้

ถึงแม้คุณปู่จะแถลงว่าให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือการศึกษาของผู้ยากไร้ หลานมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการบริหารกองทุนจะต้องเกิดปัญหา เช่นเดียวกับที่เกิดกับกองทุน กยศ. โดยแน่ การที่กองทุนจัดไว้สำหรับ “คนยากไร้” เป็นการเพิ่มภาระชีวิตของนักเรียนและผู้ปกครองที่จะต้องมาพิสูจน์ความจนของตัวเอง และยังเป็นการเพิ่มภาระให้กับคนทั่วไปที่แม้ไม่ยากไร้แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยมาก เมื่อพวกเขาเหล่านั้นต้องแบกรับภาระค่าเรียนของบุตรหลานมากขึ้น ก็อาจจะต้องกลายเป็นคนยากไร้ไปก็ได้

ทุกวันนี้แม้จะมีการเรียนฟรีโดยไม่มีเงื่อนไข ก็ยังมีเด็กที่จำต้องออกจากการศึกษากลางคันเพื่อทำงานช่วยเหลือทางบ้านอยู่แล้ว หลานกลัวเหลือเกินว่าจะมีเพื่อนเยาวชนของหลานตกหล่นไปจากกองทุนที่สร้างภาระให้ประชาชนพิสูจน์ความจนของคุณปู่ ถ้าพวกเขาเหล่านั้นตกหล่นออกจากระบบการศึกษาโดยที่มีทักษะความรู้เพียงการศึกษาภาคบังคับ (ม.3) พวกเขาจะมีอาชีพ มีอนาคตและสร้างประโยชน์ให้สังคมได้หรือไม่

ที่สำคัญที่สุด การผลักไสชะตาชีวิตด้านการศึกษาของคนยากคนจนให้ไปแขวนกับ “กองทุนช่วยเหลือคนยากไร้” นั้น เป็นการบีบบังคับให้พวกเขาต้องตีตราตัวเองว่าเป็นคนจน ย่อมเป็นการสร้างตราบาปแห่งความไม่เท่าเทียม จะทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้วหนักข้อขึ้นอีก นอกจากนี้ ถ้าการศึกษาจะต้องขึ้นอยู่กับกองทุนจริง ๆ เท่ากับว่าต่อไปนี้ การศึกษาจะไม่ใช่ “สิทธิ” ของประชาชนทุกคนถ้วนหน้า แต่จะเป็นเพียง “การสังคมสงเคราะห์” ที่ประชาชนจะต้องไปกราบกรานร้องขอจากรัฐเท่านั้น

จริงอยู่ แม้ว่าในอนาคต รัฐบาลต่อ ๆ ไปอาจจะให้สวัสดิการเรียนฟรีเพิ่มขึ้นถึง ม.ปลายและอาชีวะ แต่นั่นจะทำให้สิทธิทางการศึกษาในช่วงดังกล่าวลดคุณค่าจากสิทธิตามรัฐธรรมนูญ กลายเป็นแค่นโยบายสำหรับให้นักการเมืองหาเสียงในช่วงเลือกตั้งเท่านั้น คุณปู่จะตัดสิทธิของประชาชนไปเอื้อให้นักการเมืองทำใหม่อย่างในเมื่อคุณปู่เองก็เกลียดกลัวนักการเมืองหนักหนา

หลานเห็นว่า หากคุณปู่หวังดีต่ออนาคตของชาติ อยากให้ประชาชนได้รับสวัสดิการตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจริง คุณปู่ก็ควรที่จะใช้วิธี “ขยาย” ระยะเวลาของสวัสดิการเรียนฟรี จาก 12 ปี เป็น 15 ปี มีคำกล่าวว่าศักยภาพของประเทศไทยจะจัดสวัสดิการการศึกษาฟรีถึงปริญญาเอกก็ยังได้ เพียงแค่การสึกษาขั้นพื้นฐาน (ม.6 / ปวช.) ก็คงจะไม่เป็นไรกระมัง หรือเลวร้ายที่สุด ถ้าคุณปู่กลัวงบจะไม่พอบำรุงงบความมั่นคง ก็ควรจะปล่อยให้รัฐบาลปกติที่เป็นตัวแทนของประชาชนตัดสินใจเองว่าจะให้ “เรียนฟรี 12 ปี” เริ่มต้นและสิ้นสุดที่ใด ไม่ใช่กงการของรัฐธรรมนูญที่จะระบุรายละเอียดขนาดนี้เลยแม้แต่น้อย

สุดท้าย คุณปู่เองก็อายุมากแล้ว ขอให้ระวังรักษาสุขภาพ หลานเข้าใจว่าการเป็นประธาน กรธ. นั้นยุ่งและวุ่นวาย แต่ก็อย่าลืมกินยาให้ครบตามที่หมอสั่ง และหาเวลาพักผ่อนบ้าง กลับบ้านมาหาหลาน เลี้ยงหลานอยู่บ้านบ้างตามสมควร

ด้วยความรัก ความคิดถึงและความเคารพยิ่ง

พริษฐ์

หลานคนละสายเลือดของปู่

ปล. ช่วยกันแชร์ให้ถึงคุณปู่มีชัยด้วยครับ


ที่มา FB
Parit Chiwarak

.....