ที่มา ประชาไท Blogazine
28 กันยายน, 2015
เรื่องอยากเล่า...แด่ผู้ลี้ภัย
ด้วยความเคารพและศรัทธาทุกท่าน
.
ปี 2551 หลังจากที่ผมใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 เดือน
เพื่อสำรวจว่าจะพักอาศัยประเทศไหนรอบๆ ไทย
เพื่อทำมาหากินจนกว่าจะเข้าประเทศได้
.
สุดท้ายก็มาเลือกเวียงจันทร์เป็นที่หมาย
ผมเริ่มหาทางทำมาหากินทันที
แต่พบอุปสรรคมากมาย ไม่ทันกับเงินที่มีอยู่จำกัด
หากอยู่ต่อไปก็คงได้ แต่สุขภาพกายและใจคงทรุดหนัก
เพราะการอยู่แบบหัวเดียวกระเทียมลีบ
มันไม่สนุก และไม่มีความหวังอะไรเลย
.
ด้วยเป็นคนใจร้อนและเกรงใจคนที่ช่วยเหลือ
ผมตัดสินใจหนีกลับเข้าประเทศไทย
ไปตายเอาดาบหน้า
.
เริ่มค้นหาผู้ช่วยท้องถิ่นในเวียงจันทร์
ผมโชคดีที่ใช้เน็ตได้ดี
การค้นหาบุคคลจึงไม่ยากนัก
เรานัดหมายพูดคุยกันจนเข้าใจ
.
แผนการเดินทางถูกวางไว้อย่างระทึก
สุดท้ายผมก็ข้ามมาบนแผ่นดินไทยได้สำเร็จ
.
ในเวลานั้นผมไม่บอกใครแม้แต่ทางครอบครัว
เพื่อไม่ให้ใครเป็นห่วง
ถือว่าเป็น One Way Ticket ของผม
ไม่มีการย้อนกลับอีกเป็นอันขาด
.
เลือกหาที่อยู่ที่ปลอดภัยที่สุด
ผมเลือกไปฝังตัวในที่คนมากมาย
แบบว่าไม่สามารถบอกได้ว่าใครแปลกหน้ามา
และที่นั้นคือ.....กรุงเทพ
.
ผมหาที่อยู่ถูกๆ ได้หลายที่มากทีเดียว
แบบว่าอยู่ไปอีก 20 ปีได้สบายๆ
.
ผมปรับปรุงบุคคลิกเล็กน้อย
และเลือกใส่เสื้อผ้าฉีกแนวเดิมให้หมด
แค่นี้ผมก็เดินไปดูหนังที่พารากอน
หาของกินอร่อยๆ ได้ทุกวัน
.
สิ่งสำคัญในการอยู่รอด
คือต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวให้ได้
ตอนนี้เป็นตอนที่ผมช้ำใจที่สุด(ในเวลานั้นจนบัดนี้)
คือผมไม่สามารถบอกใครได้ว่าผมหนีเข้ามาในไทยแล้ว
เพื่อนบางคนยังคงลำบากหาเงินมาส่งเสียผม
ซึ่งเป็นประโยชน์กับผมอย่างมากในเวลานั้น
ช่วยทำให้ผมได้หางานทำได้ง่ายขึ้น
เมื่อมั่นคงแล้วผมจะต้องบอกให้เขาทราบ
และงดการช่วยเหลือ
.
ทุกอย่างไม่ราบรื่นอย่างที่คิดนัก
วันเวลาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ต้องหลบๆ ซ่อนๆ หวาดผวา ทุกวัน
วันหนึ่งมีเด็กส่งราดหน้าผิดห้องมาที่ห้องผม
เล่นเอาผมเกือบต้องย้ายห้องหนี
เพราะเข้าใจผิดคิดว่าโดนสะกดรอยได้
.
ผมได้งานเป็นเซลแมนวิ่งต่างจังหวัด
คราวนี้เป็นอะไรที่สนุกมาก และตรงใจผม
เพราะไม่ต้องอยู่กับที่นานๆ
ไม่มีใครรู้ว่าผมจะไปไหนวันไหน
ทุกอย่างผมคิดเอง จึงไม่มีใครไปดักพบที่ไหนได้
.
ผมทำงานอยู่เกือบปี
ทุกอย่างทำท่าว่าจะไปได้ดี
ผมมาได้ข่าวการลงโทษดาตอปิโดและสุวิชาท่าคล้อ
ในคดีเดียวกับผม
ทำให้รู้คร่าวๆ ว่าผมคงโดนตัดสิน 6 ปี
หากรับสารภาพคงเหลือแค่ 3 ปี
.
ตอนนั้นผมเริ่มยอมรับการติดคุกได้
เพราะผมใช้เวลาไปเกือบ 2 ปีในการหนีทั้งหมด
ถ้าผมจะติดคุกแค่ 3 ปีเพื่อแลกกับเสรีภาพถาวร
และกลับไปอยู่กับครอบครัวได้....ผมยอม
.
เมื่อเริ่มคุ้นเคยต่อความคิดในการติดคุกแล้ว
ผมก็เริ่มปล่อยวางวินัยต่างๆ ที่เคยปฏิบัติอย่างเข้นข้น
เป็นปล่อยปละละเลย เพื่อให้โดนจับ..จะได้จบๆ เสียที
.
และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง
เมื่อผมต้องโทรไปหาลูก
เพื่อนัดเอาโทรศัพท์คืนภรรยา
.
การจับกุมผมที่ห้างแพลตตินั่มกลางกรุงจึงเกิดขึ้น
หลังจากผมโดนตัดสิน 6 ปี รับสารภาพเหลือ 3 ปี
ติดคุกจริง 22 เดือน
.
วันนี้ผมเป็นอิสระแล้ว จากคดี 112
หากไม่มีประกาศ คสช ฉบับที่ 5/2557
ผมคงไปเยี่ยมผู้ลี้ภัยในต่างแดนทุกคนได้
.
ชีวิตเป็นของเรา
เลือกสิ่งที่ดีที่สุด
.
อะไรที่เราเลือกแล้ว
ก็จงยอมรับ
และอยู่กับมันให้ได้
.
ขอให้เพื่อนทุกคนจงอดทน
สักวันเราจะเปลี่ยนประเทศนี้...ด้วยมือของเรา
บล็อกของ sam112
โดย sam112
เรื่องอยากเล่า...แด่ผู้ลี้ภัย
ด้วยความเคารพและศรัทธาทุกท่าน
.
ปี 2551 หลังจากที่ผมใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 เดือน
เพื่อสำรวจว่าจะพักอาศัยประเทศไหนรอบๆ ไทย
เพื่อทำมาหากินจนกว่าจะเข้าประเทศได้
.
สุดท้ายก็มาเลือกเวียงจันทร์เป็นที่หมาย
ผมเริ่มหาทางทำมาหากินทันที
แต่พบอุปสรรคมากมาย ไม่ทันกับเงินที่มีอยู่จำกัด
หากอยู่ต่อไปก็คงได้ แต่สุขภาพกายและใจคงทรุดหนัก
เพราะการอยู่แบบหัวเดียวกระเทียมลีบ
มันไม่สนุก และไม่มีความหวังอะไรเลย
.
ด้วยเป็นคนใจร้อนและเกรงใจคนที่ช่วยเหลือ
ผมตัดสินใจหนีกลับเข้าประเทศไทย
ไปตายเอาดาบหน้า
.
เริ่มค้นหาผู้ช่วยท้องถิ่นในเวียงจันทร์
ผมโชคดีที่ใช้เน็ตได้ดี
การค้นหาบุคคลจึงไม่ยากนัก
เรานัดหมายพูดคุยกันจนเข้าใจ
.
แผนการเดินทางถูกวางไว้อย่างระทึก
สุดท้ายผมก็ข้ามมาบนแผ่นดินไทยได้สำเร็จ
.
ในเวลานั้นผมไม่บอกใครแม้แต่ทางครอบครัว
เพื่อไม่ให้ใครเป็นห่วง
ถือว่าเป็น One Way Ticket ของผม
ไม่มีการย้อนกลับอีกเป็นอันขาด
.
เลือกหาที่อยู่ที่ปลอดภัยที่สุด
ผมเลือกไปฝังตัวในที่คนมากมาย
แบบว่าไม่สามารถบอกได้ว่าใครแปลกหน้ามา
และที่นั้นคือ.....กรุงเทพ
.
ผมหาที่อยู่ถูกๆ ได้หลายที่มากทีเดียว
แบบว่าอยู่ไปอีก 20 ปีได้สบายๆ
.
ผมปรับปรุงบุคคลิกเล็กน้อย
และเลือกใส่เสื้อผ้าฉีกแนวเดิมให้หมด
แค่นี้ผมก็เดินไปดูหนังที่พารากอน
หาของกินอร่อยๆ ได้ทุกวัน
.
สิ่งสำคัญในการอยู่รอด
คือต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวให้ได้
ตอนนี้เป็นตอนที่ผมช้ำใจที่สุด(ในเวลานั้นจนบัดนี้)
คือผมไม่สามารถบอกใครได้ว่าผมหนีเข้ามาในไทยแล้ว
เพื่อนบางคนยังคงลำบากหาเงินมาส่งเสียผม
ซึ่งเป็นประโยชน์กับผมอย่างมากในเวลานั้น
ช่วยทำให้ผมได้หางานทำได้ง่ายขึ้น
เมื่อมั่นคงแล้วผมจะต้องบอกให้เขาทราบ
และงดการช่วยเหลือ
.
ทุกอย่างไม่ราบรื่นอย่างที่คิดนัก
วันเวลาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ต้องหลบๆ ซ่อนๆ หวาดผวา ทุกวัน
วันหนึ่งมีเด็กส่งราดหน้าผิดห้องมาที่ห้องผม
เล่นเอาผมเกือบต้องย้ายห้องหนี
เพราะเข้าใจผิดคิดว่าโดนสะกดรอยได้
.
ผมได้งานเป็นเซลแมนวิ่งต่างจังหวัด
คราวนี้เป็นอะไรที่สนุกมาก และตรงใจผม
เพราะไม่ต้องอยู่กับที่นานๆ
ไม่มีใครรู้ว่าผมจะไปไหนวันไหน
ทุกอย่างผมคิดเอง จึงไม่มีใครไปดักพบที่ไหนได้
.
ผมทำงานอยู่เกือบปี
ทุกอย่างทำท่าว่าจะไปได้ดี
ผมมาได้ข่าวการลงโทษดาตอปิโดและสุวิชาท่าคล้อ
ในคดีเดียวกับผม
ทำให้รู้คร่าวๆ ว่าผมคงโดนตัดสิน 6 ปี
หากรับสารภาพคงเหลือแค่ 3 ปี
.
ตอนนั้นผมเริ่มยอมรับการติดคุกได้
เพราะผมใช้เวลาไปเกือบ 2 ปีในการหนีทั้งหมด
ถ้าผมจะติดคุกแค่ 3 ปีเพื่อแลกกับเสรีภาพถาวร
และกลับไปอยู่กับครอบครัวได้....ผมยอม
.
เมื่อเริ่มคุ้นเคยต่อความคิดในการติดคุกแล้ว
ผมก็เริ่มปล่อยวางวินัยต่างๆ ที่เคยปฏิบัติอย่างเข้นข้น
เป็นปล่อยปละละเลย เพื่อให้โดนจับ..จะได้จบๆ เสียที
.
และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง
เมื่อผมต้องโทรไปหาลูก
เพื่อนัดเอาโทรศัพท์คืนภรรยา
.
การจับกุมผมที่ห้างแพลตตินั่มกลางกรุงจึงเกิดขึ้น
หลังจากผมโดนตัดสิน 6 ปี รับสารภาพเหลือ 3 ปี
ติดคุกจริง 22 เดือน
.
วันนี้ผมเป็นอิสระแล้ว จากคดี 112
หากไม่มีประกาศ คสช ฉบับที่ 5/2557
ผมคงไปเยี่ยมผู้ลี้ภัยในต่างแดนทุกคนได้
.
ชีวิตเป็นของเรา
เลือกสิ่งที่ดีที่สุด
.
อะไรที่เราเลือกแล้ว
ก็จงยอมรับ
และอยู่กับมันให้ได้
.
ขอให้เพื่อนทุกคนจงอดทน
สักวันเราจะเปลี่ยนประเทศนี้...ด้วยมือของเรา
บล็อกของ sam112