หรือว่าการตากหน้าไปยูเอ็นของประยุทธ์ จันทร์โอชา ครานี้เป็นเช่นที่ ดิ เอ็คโคโนมิสต์ ค่อนแคะ
บทความเรื่อง ‘Under the umbrella’ ของคอลัมน์ Banyan ในนิตยสาร The Economist ฉบับ Sep 19th 2015 อ้างอิง Benjamin Zawacki, an American writer ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของประเทศไทยกับสหรัฐและกับจีน
(http://www.economist.com/…/21665016-unelected-dictatorship-…)
ที่บอกว่า
“หลังจากตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐนับครึ่งศตวรรษ (แน่ละ ในภาคส่วนหลากหลาย) ประเทศไทยกำลังเคลื่อนเข้าอยู่ภายใต้จีน...
แต่กระนั้นก็ไม่หมายความว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเลือกมหามิตรผู้ยิ่งใหญ่แห่งใดเหนืออีกแห่งหนึ่ง”
“นอกเหนือจากแสดงความไม่พอใจกับการรัฐประหารแล้ว อเมริกายังใช้มาตรการแซงชั่นบางอย่าง ตัดความช่วยเหลือแก่ทัพบก งดการร่วมซ้อมรบและการเยี่ยมเยือน
รายงานการค้ามนุษย์ (TiP) ปีนี้ก็จัดประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่มีปัญหาเลวร้ายไปกว่าเดิม นี่ทำให้กล่าวกันทั่วไปว่าเป็นการลงโทษทางการเมือง แม้ว่าอเมริกาจะไม่ยอมรับก็ตาม”
ด้านจีนนั้นเล่า “เป็นคู่ค้าใหญ่ที่สุดของไทย ในจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทย ๒๕ ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว เป็นชาวจีนถึง ๔.๖ ล้านคน มากกว่าที่มาจากประเทศอื่นๆ ทั้งสิ้น
ความผูกพันจะยิ่งกระชับจากแผนการสร้างรถไฟเร็วจากมณฑลยูนานผ่านลาวและกรุงเทพฯ ไปสุดท้ายที่สิงคโปร์
ยังมีพัฒนาการอันสลักสำคัญยิ่งยวดอยู่ที่การขุดคลองตัดคาบสมุทรไทย-มาเลย์ ที่คอคอดกระ ซึ่งเป็นจุดแคบที่สุดเพียง ๔๔ กิโลเมตร (๒๘ ไมล์)
ที่จะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อจีน ทำให้ไม่ต้องไปพึ่งช่องมะละกาในการเดินเรือสำหรับขนส่งสินค้าทางทะเล อันเป็น จุดอับ สำหรับจีน หากมีการคุกคามจากศัตรู อาทิ อเมริกา”
ทั้งสองประเทศปฏิเสธแผนการขุดคอคอดกระมูลค่า ๒๘,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ ที่มีรายงานข่าวในสื่อจีนนี้
แต่จากการที่มีรายงานข่าวเมื่อเดือนกรกฎาคมว่า เวียตนามกำลังจะสร้างท่าเรือขนาดใหญ่บนเกาะแห่งหนึ่งห่างจากปลายแหลมใต้สุดของประเทศจีนเพียง ๑๗ กิโลเมตร ทำให้เกิดการคาดคะเนกันอีกครั้งว่าโครงการเก่าแก่บนคอคอดกระน่าจะรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่
“ความฝันลมแล้วแต่ครั้งโบราณเช่นนั้นกลับมาเป็นที่กล่าวถึงอย่างจริงจังเวลานี้ ตั้งอยู่บนการตีความสรุปว่า เวลานี้ประเทศไทยอยู่ในกระเป๋าของจีน
การตีความเช่นนี้ใช้กับกรณีที่ไทยจับส่งผู้ลี้ภัยชาวอัยกูร์กลับไปให้จีนเมื่อเดือนกรกฎาคม”
บทความกล่าวถึงความสัมพันธ์แนบแน่นของไทยกับจีนไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่เป็นผลจากการที่สหรัฐแสดงท่าทีอึดอัดกับการรัฐประหาร (แต่บทความก็กล่าวถึงความพึงพอใจที่จีนไม่ได้วิพากษ์การยึดอำนาจอย่างอเมริกา)
ความใกล้ชิดเริ่มมาแต่ทศวรรษ ๑๙๗๐ เมื่อจีนยุติการสนับสนุนที่มีต่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จากนั้นมาความสัมพันธ์ราบรื่นโดยตลอด จนเรียกได้ว่าใกล้ชิดที่สุดมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ดีนายซาแว็คกิได้กล่าวไว้ว่า ไทยจะไม่กลายเป็นประเทศในเครือของจีนอย่างแน่นอน มติมหาชนในไทยไม่ยอมรับเรื่องนี้
การส่งอัยกูร์ไปให้ตามคำร้องขอของจีนถูกสวดยับภายในประเทศเช่นเดียวกับนานาชาติ โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนของกองทัพเรือถูกแขวนไว้หลังจากที่มีเสียงวิพากษ์เกิดขึ้นมาก
“แสดงให้เห็นถึงความย้อนแย้งที่ส่วนหนึ่งของฝ่ายอำมาตย์ยังคงต้องการรักษาสัมพันธ์ใกล้ชิดอเมริกาเอาไว้...
ในอาทิตย์นี้เองทางการไทยแสดงท่าทีใหม่ในการเข้าร่วมในกลุ่มข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคพื้นแปซิฟิค (TPP) ที่ไม่มีจีนรวมอยู่ด้วย” (ก่อนหน้านี้รัฐบาล คสช. ขอสงวนท่าทีไม่ตอบรับ)
บทความลงท้ายว่า การแข่งขันระหว่างสหรัฐกับจีนยังไม่ถึงขั้น ‘สงครามเย็น’ ใครที่ผูกมิตรแนบแน่นกับทั้งสองประเทศทั้งสองไม่จำเป็นต้องผละจากรายหนึ่งไปสู่อีกรายหนึ่ง
ข้อสำคัญ อุบัติการณ์จีนผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทำให้ไม่ว่าประเทสไทยหรือประเทศไหนๆ ในโลกเห็นว่า
“สัมพันธภาพกับอเมริกาเป็นสิ่งน่าพิศมัยกว่าครั้งใดๆ ที่เป็นมา”