เป็นที่น่าสังเกตุว่าขณะนี้ คสช. ปฏิบัติการกระชับวงล้อมหนักหน่วง
หรือถ้าจะใช้คำของ Thanapol Eawsakul จากกรณีที่ศาลอาญาตัดสินจำคุกแกนนำ นปก. ๔ ปี ๔ เดือน ไม่รอลงอาญา โทษฐานนำมวลชนเสื้อแดงไปปิดล้อมบ้านสี่เสาของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เมื่อปี ๒๕๕๐
(ขณะที่คดีปิดสนามบินสุวรรณภูมิก่อความเสียหายแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นหมื่นล้านโดยมวลชน พธม. ศาลกลับเลื่อนการตรวจหลักฐานเพื่อการพิจารณาคดีมาเกือบยี่สิบครั้งแล้ว)
ธนพลบอกว่านั่นเป็นปฏิบัติการเคลียร์พื้นที่
แต่หากพิจารณาจากกรณีการควบคุมตัวประวิตร โรจนพฤกษ์ นักข่าวอาวุโสสื่อเครือเดอะเนชั่น เอาไปปรับทัศนคติสองสามวัน แบบ ‘อุ้ม ปิดตา ยัดห้องมืด’ นี่ยิ่งกว่าช่วงใช้กฏอัยการศึกหลังจากยึดอำนาจหมาดๆ เสียอีก
ซึ่งเป็นผลให้ผู้บริหารเนชั่น “ถูกกดดันอย่างหนักจากภายนอก” จนต้องขอให้ประวิตรลาออก เป็นที่วิพากษ์กันขรม
ประมาณว่าเนชั่นเลือกที่จะคัดออกนักหนังสือพิมพ์ ‘น้ำดี’ ผู้อยู่เนชั่นมานาน ๒๓ ปี แต่เลือกเก็บสื่อ ‘น้ำแตก’ (จากคลิปเพศสัมพันธ์ล้วงเลียอื้อฉาว) อย่าง กนก รัตน์วงศ์สกุล คนที่ออกมาเปิดประเด็นให้ผู้บริหารจัดการเด็ดขาดต่อประวิตร
Atukkit Sawangsuk คนหนึ่งละที่บอกว่า “นี่หรือสื่อที่ยกก้นเป็นกระบอกเสียงคนชั้นกลางชาวกรุง ชอบโชว์ความเป็น ‘ฝรั่ง’
ประวิตรน่าจะได้อยู่ต่อสักพัก แล้วเจรจากันให้ลาออกเงียบๆ ปลายปีอะไรแบบนั้น ไม่คิดว่าจะทำกัน ‘ไม่มียาง’ อย่างนี้
แล้วทีนี้จะเป็น ‘ฝรั่ง’ ยังไงละครับ จะมีหน้าไปสร้างความเชื่อถือในสำนักข่าวสากลกันแบบไหน ตายละมึง ตายสนิท
นี่ผมพูดแยกสองประเด็น ๑.การเคารพความเห็นต่างบนหลักการเสรีภาพสื่อ กับ ๒.มึงจะเอียงข้างยังไง ก็ทำให้ฉลาดๆ หน่อย ไม่ใช่กนกโพสต์เฟซบุ๊กแล้วก็เล่นงานประวิตรที่เพิ่งถูกจับผูกตาไปขังในห้องสี่เหลี่ยม”
นี่เป็นคำเล่าของประวิตรเอง
“ตอนผมถูกปิดตาพาไปคุมตัวสองคืน ห้อง ๔x๔ เมตรที่ขังผมนั้นหน้าต่างไม้ติดลูกกรงเหล็กปิดหมด ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน หลังจากเขาให้ผมลืมตา แทบไม่มีช่องระบายอากาศ
หลัง ๒๐ ชม.แรกมีพันโทมาคุยด้วยและถามว่าจะให้ช่วยจัดอะไรให้ไหม สองสิ่งแรกที่ผมขอคือแสงอาทิตย์และอากาศหายใจ แต่ผมไม่เคยได้เห็นฟ้าหรือแสงแดดตลอด ๒ คืน ๒ วันที่ถูกขังในห้องที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน”
นั่นเป็นรายละเอียดส่วนหนึ่งที่ประวิตรเล่าไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และให้สัมภาษณ์แก่บีบีซีโดยมีนัยยะสำคัญ
“เช้าวันถัดมา เขาได้ ‘อากาศ’ โดยถูกให้นั่งหันหลังให้ประตู และเปิดประตูไว้ให้ราว ๓๐ นาที
ราวบ่ายสองของวันอังคาร มีการนำใบหยุดเคลื่อนไหวเหมือนคราวก่อนมาให้เซ็น และถูกนำตัวกลับไปที่กองทัพภาค ๑ ตอนบ่ายสาม ในสภาพถูกปิดตาเหมือนกับขามา
เขาได้พบกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งแจ้งเขาว่า มีการแจ้งความกับเขาแล้ว แต่ยังไม่ให้ดำเนินเรื่อง จะปล่อยค้างไว้ก่อน เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน โดยย้ำว่าถ้าผิดคำสั่ง คสช. จะดำเนินคดี ทั้งนี้ เขาไม่ทราบว่าเป็นข้อหาอะไร รู้แค่เพียงว่าข้อหานี้มีอายุความ ๑๕ ปี”
ประวิตรบอกด้วยว่า "แม้ไม่ได้ถูกทรมาน แต่รู้สึกถูกคุกคามอย่างมาก"
นี่ไม่ใช่ภาพพจน์ที่น่าชมเลยแม้แต่นิดสำหรับผู้นำรัฐบาลทหารจะไปปรากฏตัวในที่ประชุมนานาชาติ เพื่อจะอวดชาวโลกถึงความสามารถในการบริหารปกครองประเทศ
เพจของแนวร่วมขบวนการเสรีไทยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ วิเคราะห์ต้นเหตุที่ คสช. ไม่พอใจ ใช้ทหารอุ้มประวิตรไปกักกันอย่างผิดหลักสิทธิมนุษยชนเยี่ยงนี้ มาจากการแสดงจุดยืนไม่ยอมรับรัฐประหารของเขา ในการปาฐกถาที่ Oslo Freedom Forum 2015
(ดูคลิปได้จากโพสต์ก่อนหน้านี้)
นอกจากนั้นยังปรากฏว่าบ้านของนักการเมือง นักกิจกรรม และนักวิชาการ มีทหารในชุดพลางไปเยี่ยมกันชุกอีกแล้วในระหว่างนี้
สำหรับผู้คนที่ทนเห็นทนรับกับสิ่งเหล่านี้ที่เรียกว่า ‘อำนาจบาตรใหญ่’ มาเป็นเวลาปีกว่า แล้วยังไม่เห็นแสงไฟที่ปลายอุโมงก์ ว่าประชาธิปไตยและการปรองดองซึ่งหัวหน้า คสช. อ้างนักอ้างหนาว่าเข้ามาเพื่อแก้ไข จะมาถึงเมื่อไร
มีก็แต่ความรู้สึกต่อสภาพขยับใกล้ ‘ไร้ขื่อแป’ ยิ่งชัดแจ้งและเพิ่มพูนขึ้นไป กระทั่งตัวแทนมิตรประเทศก็ยังไม่เว้นโดนหางเครื่องบ้างเหมือนกัน
ไม่เช่นนั้นท่านทูตม้าร์ค เค้นท์ คงไม่ retweeted ข้อความที่ท่านผู้นำพาดพิงหรอกนะ
โดยเฉพาะตอนที่กระแซะท่านทูตว่า “ท่านไม่เข้าใจ ได้รับข้อมูลผิดๆ มา จะทำให้ประเทศของท่านทูตเองได้รับความเสียหายทางธุรกิจ”