ฮาร่า ชินทาโร่ ในวันแต่งกับนูรีสา มะรอแม สาวสายบุรี |
รายงานโดย ชินทาโร่* บนหน้าเว็บ 'DeepSouth' ศูนย์ระวังสถานการณ์ภาคใต้ วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗
เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ผมได้รับโทรศัพท์จากผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษปัตตานี
ก่อนหน้านี้ผมเคยได้พบเขาหลายครั้งแล้ว คราวนี้เขาบอกผมว่าเจ้าหน้าที่ข่าวกรองในพื้นที่
ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งผมก็รู้จักเจ้าหน้าที่คนนี้ด้วย
เขาบอกว่าพวกนั้นต้องการดื่มกาแฟและคุยกับผม
ผมจึงเสนอให้ไปพบกันที่ร้านกาแฟหน้ามหาวิทยาลัย ในนครปัตตานี
อีกสองสามนาฑีต่อมาผมได้รับการติดต่อจากรองอธิการบดีท่านหนึ่งบอกว่าการคุยกันครั้งนี้เป็นเรื่องซีเรียส
เขาบอกให้ผมไปที่ห้องประชุมของสำนักอธิการบดีในวันรุ่งขึ้น
โดยจะมีรองคณบดีประจำคณะของผมเข้าร่วมประชุมด้วย
การประชุมกำหนดไว้ในเวลาแปดโมงเช้า
ผมไปถึงห้องประชุมก่อนเวลา ๕ นาฑีห้องว่างเปล่าไม่มีใครเลย
พวกทหารโผล่มาเมื่อเกือบชั่วโมงให้หลัง
นอกจากเจ้าหน้าที่สองคนที่ผมเอ่ยถึงข้างต้นแล้วยังมีคนในเครื่องแบบอีก ๗-๘ คน
รวมทั้งช่างภาพของกองทัพสองคนมาด้วย
พวกเขาอธิบายว่าแม่ทัพภาคสี่ต้องการที่จะ ‘จับกุม’ ผม แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าท่านแม่ทัพจะทำด้วยวิธีใด
ไม่ว่าจะควบคุมตัวผมไว้ ๗ วันตามกฏอัยการศึก จับกุมผมด้วยข้อหาทางอาญา
หรือว่าเนรเทศผม
สาเหตุเนื่องจากเขาได้รับรายงานว่าผมไปออกสื่อวิจารณ์โจมตี
คสช. คำชี้แจงนี้ทำให้ผมงงเพราะผมหยุดปรากฏตัวต่อสื่อใดๆ
นับแต่เกิดการรัฐประหารแล้ว มีช่องทางเดียวที่ผมใช้ในการสื่อสารคือผ่านทางเฟชบุ๊ค
ผมเลยถามว่าสื่อไหนล่ะที่รายงานอ้าง แต่คำตอบที่ได้รับก็ยังคลุมเคลือ
เจ้าหน้าที่ข่าวกรองแจ้งว่าผมไปพูดที่ไหนสักแห่ง (ใช่ครับ ที่ไหนสักแห่ง) เกี่ยวกับสื่อเซลาตันวิทยุชุมชนในท้องที่รายการหนึ่งที่ทหารติดตามอย่างใกล้ชิด
และผมเป็นแขกรับเชิญประจำในรายการภาคภาษามลายูที่เรียกว่า ‘ดูเนีย
ฮาริ อินิ’ (โลกวันนี้)
ตามคำกล่าวหาของพวกเขา ผมพูดไว้ว่าทางรอดของสถานีขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของประชาชนในท้องที่
ซึ่งกองทัพตีความออกมาได้ว่าเป็นการยุยง ผมก็ให้ข้อเท็จจริงในส่วนของผมที่พวกทหารดูจะพอใจ
แต่กระนั้นผมยังจะต้องพบกับท่านผู้บัญชาการด้วยตนเองในวันรุ่งขึ้น (ที่ ๑๘)
การพบกันจะมีที่ศูนย์หลบภัยของจังหวัดปัตตานี โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเข้าประชุมด้วย
นี่ดูท่าจะไม่ดีเสียเลยเพราะผมได้เตรียมเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ประเทศอินโดนีเซียเอาไว้แล้ว
ถ้าผมจะต้องถูกจับก็จะเป็นข่าวร้ายอย่างยิ่งสำหรับภรรยาผมที่ตั้งท้องได้สามเดือน
เธอตั้งความหวังไว้มากในการเดินทางครั้งนี้
อย่างไรก็ดีผมประเมินสถานการณ์ว่าไม่เลวร้ายเท่าไรนัก
การพบปะจะมีขึ้นในสถานที่พลเรือน และท่านผู้บัญชาการคงไม่ได้ลงมาปัตตานีเพียงแค่พบกับไอ้ยุ่นคนหนึ่ง
จะมีการพบกับประชาชนหลังงานพิธีสวดเพื่อสันติภาพโดยผู้นำศาสนาในพื้นที่
อันเป็นงานที่ฝ่ายทหารเป็นผู้จัดขึ้น
คืนนั้นผมส่งอีเมลถึงเจ้าหน้าที่สถานทูตของประเทศบ้านเกิดดั้งเดิมของผม
ผู้ที่ผมเคยพบเมื่อตอนเขาลงมาปัตตานี ในคำตอบของเขามีคำแนะนำที่ดีมากสำหรับโอกาสนี้
เขายังรับปากว่าจะสอบถามเรื่องราวกับกระทรวงต่างประเทศของไทย
เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าทางสถานทูตติดตามเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด
การพบกับผู้บัญชาการกำหนดไว้ที่เวลาเช้า ๑๑.๐๐ น.
เมื่อผมไปถึงมีแต่ผู้ช่วยของเขาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารสองคนที่ผมได้พบเมื่อวันก่อน
ทุกคนอยู่ในเครื่องแบบ ท่านผู้ช่วยเป็นชายร่างเล็กท่าทางเป็นกันเองที่มักส่งยิ้มให้ตลอด
สีผมของเขาดำขลับกว่าวัย (๕๗ ปี) เขาเป็นคนพูดเสียส่วนใหญ่ในการสนทนา เราคุยกันในเรื่องสัพเพเหระ
บ่อยครั้งเขาย้ำว่าเขาเป็นชาวนราธิวาส ว่าเขารู้จักและใส่ใจกับคนในพื้นที่มากเพียงใด
และเรื่องหลายแหล่ที่มันจะอันตรธานไปจากความทรงจำทันทีที่หยุดการสนทนา
การพูดคุยอย่างได้เนื้อหาดำเนินต่อไปอีกกว่าชั่วโมงจนกระทั่งพลโทวลิต
ท่านแม่ทัพเดินเข้ามาในห้องประชุม พล.ท.
วลิตไม่เหมือนกับพวกรองๆ ของท่าน ที่แสดงออกแจ่มแจ้งว่าไม่ชอบผม ด้วยสีหน้าขึงขังต่างกับคนไทยทั่วไป
เขาเริ่มการสนทนาอย่างไม่อ้อมค้อมด้วยการบอกว่าผมได้กระทำความผิดร้ายแรงที่จะทำให้ถูก
‘จับกุม’ ได้
เขาเป็นบุคคลประเภทที่ไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นใดๆ
ต้องเก็บงำความไม่พอใจ และควบคุมอารมณ์ร้ายเอาไว้
ไม่ถนัดนักในการจัดอันดับความสำคัญก่อนหลัง เขาเลือกที่จะเอ่ยถึงความร้ายแรงของการกระทำผิดมากกว่าจะแจ้งให้ทราบ ที่ว่าเป็นความผิดเหล่านั้นคืออย่างไร จากนั้นเขาเอาก็อปปี้รายงานที่เขาได้รับให้ดู
ซึ่งเป็นโคว้ตข้อความที่ผมเคยพูดไว้เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคมปีที่แล้ว
ในวันนั้นต่อหน้าสาธารณะชนชาวปัตตานีกว่า ๓ พันคน
ผมพูดว่าชาวบ้านควรที่จะสนับสนุนให้ ขบวนการบีอาร์เอ็น (Barisan Revolusi Nasional Melayu Patani) เข้ามาสู่การเจรจา ให้ทำการกดดันเพื่อที่บีอาร์เอ็นจะได้ไม่ลุกไปจากโต๊ะเจรจา
แต่ในหมายเรียกตัวผมระบุแต่เพียงข้อความว่า “ชาวบ้านควรสนับสนุนบีอาร์เอ็น”
เขาถามผมว่าผมพูดข้อความเหล่านั้นจริงไหม เขาบอกผมว่าขณะนี้
คสช. ทำการยึดอำนาจไว้หมดแล้ว ผมจะวิจารณ์หรือโจมตีไม่ได้
ทำอย่างนั้นเป็นการสร้างความแตกแยกขึ้นในสังคม แต่ผมไปออกสื่อและวิพากษ์เราอย่างโจ่งแจ้ง
ถือเป็นการก้าวร้าวที่จะยอมรับไม่ได้
ผมรู้ดีว่าบทบาทสำคัญมากอย่างหนึ่งของกองทัพคือการตีความใดๆ
อย่างไรก็ได้ตามต้องการ ผมจึงไม่พูดถึงสิ่งที่พวกเขาเอามาโคว้ตในขณะนี้ ผมพยายามที่จะอธิบายในส่วนของผม
แต่ก็เอ่ยปากออกไปได้แค่สี่ห้าคำ พล.ท.วลิตจะตัดบทการให้เหตุผลของผมไปเสีย นี่เป็นความประพฤติแบบที่ผู้สนับสนุนของ
กปปส. กระทำกับคนที่ถูกสอบปากคำก่อนที่เขาจะได้ให้เหตุผลใดๆ
เขาถามว่าผมจะมีความสุขไหมถ้าไอ้ห่าคนต่างชาติเข้าไปในประเทศของผมแล้วทำแบบเดียวกับที่ผมทำไป
ผมตอบว่ามันก็เป็นสิทธิของเขาหรือเธอที่จะทำอย่างนั้นนะครับ แล้วเขาถามต่อว่า “คุณจะพอใจไหมถ้าผมไปทำทำอย่างเดียวกันในประเทศของคุณ”
ผมตอบว่าผมจะพอใจอย่างยิ่งและเคารพในสิทธิของเขา
คำตอบทั้งสองครั้งของผมไม่ทำให้ท่านพลโทพอใจเลยสักนิด
เขาดูเหมือนจะเชื่อมั่นว่าใครๆ ควรจะคิดเหมือนกับเขา
พล.ท.วลิตย้ำว่าผมทำอย่างนั้นไม่ได้ในประเทศของเขา มันเป็นสิ่งผิดกฏหมาย
และบัดนี้กฏหมายทั้งหลายก็อยู่ภายใต้กำกับของ คสช.
ผมก็สาธยายให้พล.ท.วลิตทราบว่าผมไม่ได้ออกสื่อใดๆ
เลยนับแต่ได้มีการเปลี่ยนโครงสร้างในการบริหารประเทศเป็นต้นมา ดังนั้นจะเป็นบุญคุณล้นเหลือถ้าหากท่านผู้บัญชาการจะกรุณาบอกผมหน่อยว่าสื่อไหนที่เอาข้อความบางตอนจากปาฐกถาของผมไปลงหลังจากที่ได้มีการยึดอำนาจ
ทั้งๆ ที่ตามความจริงผมได้พูดไว้เมื่อปีกว่ามาแล้ว เมื่อตอนที่ประเทศนี้ยังอยู่ในการปกครองโดยรัฐบาลพลเรือนภายใต้การนำของ
น.ส.ยิ่งลักษณ์
พล.ท.วลิตบอกว่าผมไม่ต้องมาให้คำอธิบายใดๆ อีก
มันมีปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์แล้ว ผมจึงถามว่าหนังสือพิมพ์ฉบับไหนล่ะครับ
ช่วยบอกผมหน่อยผมจะได้ติดต่อไปหาต่อว่าถึงการที่มี “พฤติกรรมไร้ความรับผิดชอบอย่างชัดแจ้ง”
เช่นนั้น ผู้บัญชาการเบือนหน้าจากผมไปหารองของท่านที่หลุดคำ “อั่มมมม”
ออกมาหลายครั้ง แล้วบอกผมว่าคนของท่านจะติดต่อมาถึงผมภายหลังในรายละเอียดเหล่านั้น
ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากที่จนวินาฑีนี้ก็ยังไม่มีมา
พลโทวลิตบอกว่าเรื่องนั้นไม่สำคัญ แต่ผมต้องเข้าใจว่ามันไม่ถูกต้องที่พูดอย่างนั้น
ผมพยายามชี้แจงว่าผมพูดในมิติที่ต่างกันก่อนที่พลเอกประยุทธ์นายใหญ่ของท่านจะทำการยึดอำนาจการบริหารประเทศ
ถ้าหากรัฐบาลอันชอบธรรม ณ เวลานั้นต้องการจับกุมผมในสิ่งที่ผมพูดกับสาธารณชนนับพันๆ
และรายงานโดยสื่อจำนวนมากละก็ คงจะทำไปแล้ว
มันไม่ใช่กงการอะไรของผมที่ท่านเพิ่งได้เห็นในสิ่งที่ผมพูดเมื่อกว่าปี
แล้วมากล่าวหาผมว่าไม่เคารพยำเกรง คสช. องค์กรซึ่งยังไม่มีตัวตนในเวลานั้นเลย
แต่ท่านผู้บัญชาการมิใช่บุคคลที่จะพร้อมรับฟังคำของใครอื่น ซึ่งพูดในสิ่งที่ทำให้เขาเกิดความรำคาญ
หลักใหญ่ใจความนั้นอยู่ที่ผมไม่อาจพูดอะไรได้เพราะมันเป็นสิ่งผิด
ท้ายที่สุดเขาบอกให้ผมหยุดแสดงความเห็นต่อสาธารณะเพื่อสวัสดิภาพของตัวผมเอง
เขายังถามว่าผมมายังสถานที่พบกันครั้งนี้โดยคำเชิญหรือว่าด้วยหมายเรียกตัว
ผมก็ตอบว่ามันเป็นการเชิญ เขาตอบว่า “ใช่แล้ว” เพราะไม่มีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร
และสถานทูตของผมควรที่จะเข้าใจด้วยว่านี่ไม่ใช่การเรียกรายงานตัว
ทำให้ผมทราบว่าการสอบถามจากสถานทูตในเรื่องนี้มีผลอยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ดี
เขาพูดต่อว่ามันเป็นสิ่งผิดที่ผมพูดอันปรากฏอยู่บน ‘หนังสือพิมพ์’
ต่อไปจะมีมีการเชิญแล้วนะ วลิตบอกว่าถ้าหากผมกระทำความผิดอาญาอย่างนี้อีกละก็
เขาจะไม่เชิญมาคุย แต่จะออกหมายเรียกให้มารายงานตัวด้วยตนเอง
แล้วต้องอยู่กับทหารของเขา ๗ วัน
จากนั้นการพบปะก็สิ้นสุดลง เมื่อผมยกมือ ‘ไหว้’
ท่านพลโท เขากรุณายื่นมืออกมาจับเขย่า
เขาจับมือผมอย่างกระชับแน่นยิ่งนัก แล้วเขย่าสองสามครั้ง ซึ่งก็คงตีความหมายไปในทางใดก็ได้
*หมายเหตุ ฮาร่า ชินทาโร่ เป็นนักวิชาการชาวญี่ปุ่นซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่นครปัตตานีมาเป็นเวลากว่า
๑๕ ปี เขาเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่สามารถพูดและใช้ภาษามลายู
(ทั้งพื้นบ้านและมลายูกลาง) ได้อย่างคล่องแคล่ว ปัจจุบันแต่งงานแล้วกับหญิงสาวพื้นบ้านชาวสายบุรี
เขากล่าวถึงการมาใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ล่อแหลมสามจังหวัดภาคใต้ของไทย
ในการให้สัมภาษณ์เมื่อต้นปี ๒๕๕๖ ตอนหนี่งว่า “เรามีหน้าที่การงานในสังคมที่นี่
อยากช่วยที่นี่ให้มีความแข็งแรง อยากเป็นหนึ่งแรงที่ช่วยขับเคลื่อนสันติภาพที่สำคัญ”