ข้อสังเกตเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญชั่วคราว
2557
*โปรดดูรัฐธรรมนูญฯ
ประกอบ
คำปรารภ – ปกติแล้วคำปรารภ
หรือ preamble นั้นจะกล่าวถึงที่ไปที่มาและอุดมการณ์ของรัฐธรรมนูญ
แต่คำปรารภนี้กลับกล่าวถึงสาเหตุของการยึดอำนาจเสียมากกว่า และเป็นคำปรารภที่ยาวมากกว่าปกติ
มาตรา 1 และ 2 – เป็นรูปแบบปกติของรัฐธรรมนูญไทย
มาตรา 3 – ยังงงๆอยู่ว่าการที่บัญญัติว่า
“อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย”แต่พอดูเนื้อหาทั้งฉบับแล้วไม่รู้ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยตรงไหน
มาตรา 4 – อ่านแล้วเคลิ้มเพราะพูดถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
แลพันธกรณีระหว่างประเทศ แต่พออ่านไปถึงมาตรา 47 แล้วมาตรานี้ไม่มีผลบังคับใช้แต่อย่างใด
มาตรา 5 – คือมาตรา
7 ของ รธน.50 ดีๆนี่เอง แต่เพิ่มตรงให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยล่วงหน้าได้
ซึ่งผิดวิสัยของการเป็นศาล ที่ปกติแล้วจะไม่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายแต่ศาลจะวินิจฉัยในกรณีที่
เกิดข้อพิพาทแล้วเท่านั้น
มาตรา 6,7,8,9,10,11,12,13 – เป็นส่วนเกี่ยวกับองค์ประกอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่มีข้อสังเกตคือ ห้ามผู้เคยดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองภายในระยะเวลา
3 ปี แต่ไม่ห้ามข้าราชการประจำ
ที่น่าขำก็คือ
มาตรา 8(8) ห้ามเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก
จึงเป็นปัญหาว่าคำว่าเจ้ามือนี้หมายความถึงอะไรบ้าง เช่น เจ้ามือไฮโล เจ้ามือหวยไต้ดิน
ฯลฯ และคำว่าเจ้าสำนักหมายถึงเจ้าสำนักนางโลมหรือเจ้าสำนักบู้ลิ้มด้วยใช่หรือไม่
อย่างไร
มาตรา 14,15,16,17,18 – เป็นส่วนเกี่ยวกับกระบวนการตรากฎหมายและการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติทั่วๆไป
มาตรา 19,20 – ว่าด้วยคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีซึ่งมีข้อสังเกตคือไม่เป็นหรือ
เคยเป็นสมาชิกพรรคการเมือง(สนช.และสปช.เป็นสมาชิกพรรคได้ ห้ามเฉพาะผู้มีตำแหน่งในพรรคเท่านั้น)
และแน่นอนว่าไม่ห้ามข้าราชการประจำอีกเช่นกัน
มาตรา 21 – เกี่ยวกับการออกพระราชกำหนด
มาตรา 22 – เกี่ยวกับการออกพระราชกฤษฎีกา
มาตรา 23 – เกี่ยวกับการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ
สัญญาสงบศึกและสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ แต่ไม่ยักพูดถึงการประกาศสงคราม
มาตรา 24 – เกี่ยวกับการโปรดเกล้าแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง
ผู้พิพากษาตุลาการและองค์กรตามรัฐธรรมนูญทั้งหลาย
มาตรา 25 – การลงนามรับสนองพระบรมราชโองการต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองฯ
มาตรา 26 – ความเป็นอิสระในการพิพากษาคดีของฝ่ายตุลาการ
มาตรา 27 – ประเด็นที่สภาปฏิรูป
(สปช.) มีหน้าที่ศึกษา 11 ด้าน ซึ่งยังงงๆอยู่ว่าอาศัยเกณฑ์อะไรในการแบ่งหมวดเพราะดูทับซ้อนกันอย่างไรพิกล
แต่ก็ยังดีที่มี (4) ที่มีประเด็นการปกครองท้องถิ่นแต่แยกออกมาจากการบริหารราชการแผ่นดิน
(ซึ่งจริงๆแล้วควรจะอยู่ด้านเดียวกัน) แต่ก็ยังดีที่อย่างน้อยก็จะได้มีการพูดถึงประเด็นการปกครองท้องถิ่นบ้าง
แม้ว่าจะไม่เห็นความหวังของการพัฒนาการที่ดีขึ้นแต่อย่างใด มีแต่จะถูกลดทอนขนาดและอำนาจหน้าที่ลงไปเป็นลำดับนับแต่ภายหลังมีการยึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม57 เป็นต้นมา
มาตรา 28,29,30,31 – เกี่ยวกับคุณสมบัติ
ที่มา อำนาจหน้าที่ ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ
มาตรา 32,33 – เกี่ยวกับที่มาและคุณสมบัติของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจำนวน
36 คน ซึ่งห้ามสมาชิกพรรคการเมืองหรือเคยเป็นสมาชิกพรรคการเมืองภายใน
3 ปี เช่นเดียวกับคุณสมบัติ ครม.
มาตรา 34 – กำหนดระยะเวลาร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน
120 วันนับแต่ได้รับความเห็นจาก สปช.และต้องเสนอร่าง รธน.ต่อ
สปช. (ไม่ใช่ สนช.) พิจารณา
มาตรา 35 – กำหนดประเด็นให้คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฯ
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ รัฐธรรมนูญฯฉบับที่ 20 ที่จะมีขึ้นคือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฯฉบับที่
19 หรือฉบับปี 57 นั่นเอง เพียงแต่เมื่อมีฉบับที่ 20 แล้ว ฉบับที่ 19 ก็เลิกไปเพราะเอาเจตนารมณ์ฉบับที่ 19ไปใส่ในฉบับที่ 20
แล้ว
มาตรา 36,37,38,39 – เป็นขั้นตอนและกระบวนการร่างรัฐรัฐธรรมนูญ
ซึ่งมีข้อสังเกตคือ ตามมาตรา 37 วรรคสองที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญและพระราชทานคืนมา
หรือเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา ให้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นตกไป”
ซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างกับกระบวนการตรากฎหมายที่ผ่านมาในอดีต เพราะไม่บัญญัติให้มีการยืนยันร่าง
แต่กลับเพิ่มพระราชภารกิจและความรับผิดชอบให้แก่พระมหากษัตริย์ในกรณีที่ต้องวินิจฉัยให้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นตกไป
และในกรณีมาตรา 38 วรรคสองในกรณีคณะกรรมาธิการฯยกร่างรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ให้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการฯชุดใหม่ขึ้นมาอีก ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะแล้วเสร็จอีกเช่นกัน ซึ่งอาจกินเวลาเป็นสิบๆปีทำลายสถิติเดิมที่ทำไว้เพียงสิบปีในสมัยจอมพลสฤษดิ์และต่อเนื่องมาถึงจอมพลถนอม
หรือถ้ามองแบบร้ายสุดๆก็อาจจะไม่มีฉบับที่ 20 เลยก็เป็นได้
มาตรา 40 – เกี่ยวกับเงินเดือน
เงินประจำตำแหน่งของตำแหน่งในรัฐธรรมนูญนี้ซึ่งกำหนดให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกา
มาตรา 41 – ยกเว้นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามให้แก่
คมช.,สนช.,สปช.,กรรมาธิการร่าง
รธน. ฯลฯ
มาตรา 42 – ให้ คมช.อยู่ต่อไปและเพิ่มจำนวนให้เป็นไม่เกิน
15 คน รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่าง คมช.กับ ครม.
มาตรา 43 – ในระหว่างที่ยังไม่มี
สนช.,ครม.ให้อำนาจเป็นของ หน.คมช.
มาตรา 44 – สรุปง่ายๆก็คือมาตรา
17 ที่เคยให้อำนาจจอมพลสฤษดิ์และจอมพลถนอมไว้อย่างไรก็แทบไม่แตกต่างกัน
เพียงคราวนี้หาก หน.คมช.จะใช้อำนาจก็โดยความเห็นชอบของ คมช.เท่านั้นเอง
มาตรา 45 – เกี่ยวกับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดต่อรัฐธรรมนูญภายใต้บังคับของมาตรา
5 และมาตรา 44
มาตรา 46 – เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ซึ่งเป็นอำนาจของ สนช.พิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือไม่เท่านั้นไม่สามารถแก้ไขได้หากครม.และคสช.ไม่เห็นชอบด้วย
มาตรา 47 – บรรดาประกาศและคำสั่งของ
คสช.ไม่ว่าจะทำก่อนหรือหลัง รธน.นี้บังคับใช้เป็นประกาศหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญและถือ
เป็นที่สุดจนกว่าจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก
ที่น่าสังเกตคือมีคำว่า “หลัง” ประกาศใช้ รธน.ซึ่งก็แสดงว่า
คสช.ยังมีอำนาจเต็มทุกอย่างนั่นเอง
มาตรา 48 – ว่าด้วยการนิรโทษกรรมการกระทำทั้งหลายที่กระทำเนื่องในการยึดและควบคุมอำนาจ
ไม่มีข้อสังเกต เพราะถ้าไม่มีมาตรานี้ต่างหากจึงจะผิดสังเกตของการยึดอำนาจแบบไทยๆ
รายละเอียดรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
๒๕๕๗ ที่ http://hilight.kapook.com/view/105498