วันเสาร์, เมษายน 15, 2560

"อาจจะมีคนมาเสนอให้ไปตั้งรั้วห้ามรถ หรือคนเดินทับหมุดใหม่ที่ว่าก็ได้"

คนกลุ่มไหนเป็นผู้ทำการเปลี่ยนหมุดคณะราษฎรบนลานบริเวณหน้าอาคารรัฐสภาใกล้พระรูปทรงม้า ไม่สำคัญนัก เพราะหมุดใหม่แสดงแจ่มแจ้งแล้วว่าเป็นเจตนาของคนพวกไหน

หากจะถือตามคำประกาศของพระยาพหลพลพยุหเสนาในพิธีฝังหมุดเมื่อ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๙ ว่า

หมุดที่จะวางลง ณ ที่นี้จึ่งเรียกว่า หมุดก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ ในมงคลสมัยซึ่งเปนปีที่ ๕ แห่งการพระราชทานรัฐธรรมนูญ ฉะบับถาวรนี้”

ณ ที่นี้ดังกล่าวก็คือ “ณ ที่ใดซึ่งเปนที่ ๆ พวกเราได้เคยร่วมกำลังกาย กำลังใจและกำลังความคิด กระทำการเพื่อขอความอิสสระเสรีให้แก่ปวงชนชาวสยาม...

เพราะเปนที่ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรสยาม ซึ่งถือกันว่าเปนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเปนมิ่งขวัญของประชาชาติไทย...

ความประสงค์อย่างบริสุทธิ์จริงใจของเรานี้ ได้รับความนิยมเลื่อมใสของอาณาประชาราษฎร ตลอดทั้งได้รับพระบรมราชานุมัติของพระมหากษัตริย์ด้วย”

(หมายเหตุ เก็บความมาจากโพสต์ของ Sarunyou Thep ที่นี่ https://www.facebook.com/sarunyouku/posts/1300120886747903)
 เจตนานั้นก็คือต้องการลบล้างความสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ชาติไทยอันเป็นผลงานของคณะราษฎร ด้วยการทำหมุดใหม่มาใส่แทนที่ มีข้อความเชิดชูพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ ว่า “ประชาชนสุขสันต์ หน้าใส เพื่อเป็นพลังของแผ่นดิน”

รวมทั้งข้อความวงในรอบหมุดใหม่ตอนหนึ่งว่า “มีจิตซื่อตรงในพระราชาของตนก็ดี ย่อมเป็นเครื่องทำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง”

ทำให้หลายคนทั้งในแวดวงวิชาการและผู้สันทัดกรณีตีความว่า พวกที่จัดการเปลี่ยนหมุดคณะราษฎรต้องการให้ประเทศกลับไปสู่ระบอบราชาธิปไตย เหนือกว่ารัฐธรรมนูญ

เพราะว่าคณะราษฎรนั้นเชิดชูรัฐธรรมนูญ โดยที่มี “พระบรมราชานุมัติของพระมหากษัตริย์” (รัชกาลที่ ๗) เนื่องหนุน

ทว่าพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ (อันปรากฏสัญญลักษณ์แทนพระองค์ หมายเลข ๙ อยู่บนหมุดใหม่) จะทรงเห็นชอบกับความมุ่งมาดปรารถนาของคนที่จัดการเปลี่ยนหมุดหรือไม่ มิอาจทราบได้ เนื่องจากทรงประทับอยู่ ณ สวรรคาลัย ไม่ปรากฏหลักฐานการสื่อสารประราชทานมาเพื่อการนี้

ดังนั้นคำของ อจ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ที่เอ่ยถึงคนทำว่า “ทำแต่เรื่องโง่ๆ เรื่องจัญไร” น่าจะแฝงไว้ด้วยความจริงเบื้องลึก มิเพียงแค่ถ้อยบริภาษณ์ธรรมดา ในเมื่อนี่คือการทำให้พระบรมเดชานุภาพของกษัตริย์รัชกาลที่ ๙ เสื่อมทรามลงไปโดยมิควร
 คงไม่มีใครอธิบายประเด็นนี้ได้ดีเท่า สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

“เอาคำของราชวงศ์ที่คิดว่าตัวเองเคารพไปเขียน เอาคำที่รู้กันทั่วไปว่าหมายถึงพระนามของในหลวงภูมิพลไปติดแทน (พลังแผ่นดิน) แล้วอย่างนี้ อีกหน่อยไม่ต้องบ้าคอยห้ามไม่ให้รถราหรือผู้คนแล่นเหยียบ เดินเหยียบทับด้วยหรือ?

(พูดเป็นเล่นไป ในยุคสมัยที่มีคนบอกว่า ห้ามเอาแบ๊งค์หรือเหรียญใส่ในกางเกงเพราะแบ๊งค์มีรูปในหลวงภูมิพลอยู่ อาจจะมีคนมาเสนอให้ไปตั้งรั้วห้ามรถหรือคนเดินทับหมุดใหม่ที่ว่าก็ได้นะเอ้า)

ที่ชวนตลกแบบสมเพชคือ คนรักเจ้ารุ่นหลังพวกนี้ไม่รู้แม้แต่ธรรมเนียมประเพณีนิยมของเจ้า ว่าเขาไม่เอาคำพวกนี้ที่เขาถือเป็นของ สูง ไปไว้บนดินกลางถนนที่รถแล่นผ่าน คนเดินผ่านแบบนั้น”

ยังมีอีกที่โพสต์ของ Somsak Jeamteerasakul ว่าไว้น่าฟัง “ถ้านึกอยากจะเลิกทุกอย่างที่คณะราษฎรทำนะ นี่เลย รณรงค์ให้เลิกเรียกชื่อ ประเทศไทย และ Thailand...ให้เลิกเพลงชาติไทยตอนนี้...การยืนตรงเคารพธงชาติ...

รู้หรือเปล่าว่าพวกนี้เป็นผลงานของคณะราษฎรทั้งนั้น ซึ่งมีผลสะเทือนและความหมาย-ความสำคัญมาจนทุกวันนี้ ยิ่งกว่าหมุดที่ว่าไม่รู้กี่เท่า”

จึงสันนิษฐานว่าการเปลี่ยนหมุดครั้งนี้กระทำโดย พวกรอยัลลิสต์ที่คลั่งไคล้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชยิ่งกว่า the royals เป็นแบบเดียวกับพวก โหนเจ้า ที่แสดงความรักเจ้าเสียจนเจ้าเองขนลุกขนพอง ทำให้คดี ม.๑๑๒ (หรือแค่เข้าข่าย) เพิ่มขึ้นมากมายโดยมิควร

พวกรักเจ้าเสียยิ่งกว่าเจ้าเองเหล่านี้ ไม่รู้ไม่เห็นกับคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของไทยที่ราชวงศ์เองก็มีส่วนร่วม ทำให้วลีที่แสดงถึงการเป็นเสาหลักทางการปกครองไทยยุคใหม่ บิดเบี้ยวไป

เมื่อ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ขัดแย้งกันเองในตัว ฐานที่ทำให้หมุดหลักแสดงความสำคัญแห่งรัฐธรรมนูญอันตรธานไป แล้วเอา หน้าใส มาใส่แทน
โดยที่ ผศ.พิพัฒน์ กระแจะจันทน์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ชี้ชัดถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์หมุดของคณะราษฎร ว่า

“ถือเป็นโบราณวัตถุของชาติประเภทหนึ่งได้ เนื่องจากมีอายุเก่าเกิน ๕๐ ปี อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ช่วงสำคัญของประเทศ ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการขึ้นทะเบียนในราชกิจจานุเบกษาก็ตาม

แต่ในความจริงแล้วเมื่อปี ๒๕๕๖ อดีตอธิบดีกรมศิลปากรก็เคยมีแนวคิดที่จะประกาศให้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นโบราณสถาน ดังนั้นหมุดคณะราษฎรจึงเป็นส่วนหนึ่ง และสำคัญต่อความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของคนทั้งประเทศ”


แม้กระทั่ง ศรีสุวรรณ จรรยา นักกิจกรรมที่แสดงตนเป็นรอยัลลิสต์แก่กล้าคนหนึ่ง ยังออกมาประท้วงและเรียกร้อง “ขอทวงคืนหมุดคณะราษฎร” ในนามสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย

โดยกล่าวโทษผู้กระทำการเปลี่ยนหมุดว่า “เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอาญา และขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒๕๖๐ มาตรา ๕๗ () ประกอบมาตรา ๗๘

ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงวัฒนธรรม จะต้องเร่งดำเนินการนำหมุดคณะราษฎรดังกล่าวกลับมาประดิษฐานยังที่เดิม

(http://www.matichon.co.th/news/529818)