สว.มาจากการแต่งตั้งของ คสช.
หัวหน้าคสช.
คือนายก ตอนนี้
555555..
คือ..บับ บันเทิงค่ะ พรดิ๊ฟ มาเล่นเรื่อง บอส กระทิงแดง
งานนี้ กรรม คือการกระทำ จะอยู่ที่ใคร
...
#EXPLAINER ทำไมบอส อยู่วิทยา ลูกชายคนสุดท้องของเฉลิม อยู่วิทยา เจ้าของเรดบูลล์ ถึงไม่ติดคุก แม้จะขับรถชนคนตายคาที่ เหตุใดสังคมถึงตั้งคำถามทั้งตำรวจ และอัยการ อย่างรุนแรงขนาดนี้ workpointTODAY อธิบายโพสต์เดียวเคลียร์ใน 32 ข้อ
1) การจัดอันดับผู้ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย ของนิตยสาร Forbes ปรากฏว่า อันดับ 2 คือเจ้าของธุรกิจ "กระทิงแดง" ของตระกูลอยู่วิทยา มีทรัพย์สินรวม 6.6 แสนล้านบาท
2) จุดเริ่มต้นของแบรนด์กระทิงแดง เกิดขึ้นในปี 2499 เมื่อเฉลียว อยู่วิทยา ตั้งบริษัทขายยาชื่อทีซี ฟาร์มาซูติคอล (TCP) โดยเฉลียวคิดค้นสูตรยาหลายประเภท จนมาถึงปี 2519 เขาคิดค้นเครื่องดื่มกระทิงแดงขึ้นมา และกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมทันที เพราะให้ทั้งพลังงานและรสชาติที่ดี
3) เฉลียว อยู่วิทยา ทำธุรกิจในไทยเป็นหลัก และมีส่งออกกระทิงแดงไปในชาติเอเชียบ้าง แต่ในปี 2527 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อดีทริช เมเทสซิทซ์ นักการตลาดชาวออสเตรียขอซื้อสูตรของกระทิงแดงเพื่อเอาไปทำตลาดในทวีปยุโรป
ดีทริชกับเฉลียว ร่วมกันก่อตั้งบริษัทชื่อ Red Bull GmbH โดยแบ่งหุ้นส่วน ให้ดีทริช 49% เฉลียว 49% และลูกชายของเฉลียว คือเฉลิม อยู่วิทยา 2% ซึ่งแม้ฝั่งอยู่วิทยาจะถือหุ้นมากกว่า แต่ดีทริช จะทำการตลาดด้วยตัวเอง
4) กระทิงแดง ขายได้ดีที่ไทย แต่ทว่า Red Bull ภายใต้การดูแลของดีทริชกลับไปได้ไกลกว่ามาก โดยสามารถตีตลาดยุโรป และอเมริกาได้สำเร็จ เป็นเครื่องดื่มพลังงานยี่ห้อต้นๆที่คนจะนึกถึง ซึ่งการขายดีของ Red Bull GmbH ทำให้ฐานะของตระกูลอยู่วิทยามั่งคั่งไปด้วยโดยปริยาย เนื่องจากพวกเขามีหุ้นส่วนบริษัทในมือถึง 51%
ตอนนี้ตระกูลอยู่วิทยามีรายได้สองทาง ทางแรกคือจาก TCP ที่นอกจากกระทิงแดงแล้ว ก็มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิด เช่น เครื่องดื่ม Man Some หรือ Ready เป็นต้น ส่วนทางที่สอง คือจาก Red Bull GmbH ที่ดีทริชคอยปั้นกำไรให้
5) เฉลียวเสียชีวิตในปี 2555 ลูกชายเฉลิมขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลแทน โดยเฉลิมแต่งงานกับดารณี ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 3 คน ได้แก่
- พี่สาวคนโต วรางคณา ชื่อเล่นแชมเปญ
- ลูกคนรอง วาริท ชื่อเล่นปอร์เช่
- น้องชายคนเล็ก วรยุทธ ชื่อเล่นบอส
6) เฉลิมและดารณีส่งลูก 2 คนโตไปเรียนอังกฤษ โดยตอนแรกทั้งคู่ปล่อยลูกให้อยู่กันเอง เพราะเฉลิมต้องกลับมาช่วยธุรกิจที่บ้าน โดยดารณีกล่าวว่า "เกิดมาไม่เคยจากลูกเลย แต่จำเป็นต้องกลับเมืองไทย เพราะคุณเฉลิมต้องช่วยธุรกิจของคุณพ่อ พอส่งลูกเสร็จมาเมืองไทยได้ 2 อาทิตย์ นั่งทานข้าวอยู่ด้วยกัน จู่ๆน้ำตาก็ไหลพรากทั้งคู่ เดี๋ยวๆก็คิดถึงลูก ต้องชวนกันบินไปเยี่ยมทุกเดือน แล้วก็ค่อยๆกลายเป็นบินไปทุก 2 อาทิตย์ จนทนไม่ไหว จากนั้นเลยตัดสินใจตามไปอยู่ดูแลลูกที่อังกฤษ เอาลูกชายคนเล็กน้องบอสไปเรียนที่อังกฤษด้วย"
7) ตระกูลอยู่วิทยา ไม่ใช่แค่ร่ำรวยจากธุรกิจของตัวเองเท่านั้น แต่ยังสร้างคอนเน็กชั่นไว้มากมายกับระดับ Elite ของประเทศ ลูกสาวคนโตวรางคณา แต่งงานกับหม่อมหลวงกอกฤษต กฤดากร ขณะที่ลูกคนรองปอร์เช่-วาริท ร่วมกับวรวุฒิ ภิรมย์ภักดี ทายาทแบรนด์สิงห์ จับมือกันทำธุรกิจนำเข้ารถหรูเฟอร์รารี่
8) ครอบครัวอยู่วิทยาหลงรักในความเร็วมาก ปอร์เช่-วาริท เคยเล่าเอาไว้ในปี 2552 ว่า "คุณพ่อเป็นคนชอบขับรถเร็ว แต่ท่านก็ให้ความสำคัญเรื่องการขับขี่อย่างปลอดภัยมาก ตั้งแต่พวกเรายังเล็กๆ คุณพ่อส่งให้ไปเรียนขับรถทุกคน ทำให้ลูกๆรักการแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจ ทุกวันนี้ ที่บ้านเรามีรถเฟอร์รารี่ 3 คัน"
9) วันที่ 3 กันยายน 2555 เวลา 05.30 น. ลูกชายคนเล็กของครอบครัว บอส-วรยุทธ วัย 27 ปี ขับรถเฟอร์รารี่ สีบรอนซ์เทา รุ่น FF ราคาประมาณ 15 ล้านบาท พุ่งชน วิเชียร กลั่นประเสริฐ ดาบตำรวจจากสถานีทองหล่อ ขณะกำลังขับตรวจลาดตระเวน ที่ปากซอยสุขุมวิท 47 ดาบตำรวจวิเชียรตายคาที่ และด้วยความเร็วของรถยนต์ได้ลากศพของตำรวจไปไกลกว่า 200 เมตร โดยศพไปหยุดนิ่งที่ซอยสุขุมวิท 49
จากนั้นบอส-วรยุทธ รีบขับรถกลับบ้านตัวเอง ที่อยู่ภายในซอยสุขุมวิท 53 ทันที ซึ่งระหว่างทาง มีคราบน้ำมันจากจุดเกิดเหตุไปถึงภายในบ้าน ทำให้ตำรวจแกะรอยได้ง่ายมากว่าคนร้ายไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
10) ในตอนแรก บอส อยู่วิทยา ไม่ยอมออกมารับความผิด ยิ่งไปกว่านั้นมีนายตำรวจร่างหนึ่ง ชื่อ พ.ต.ท.ปัณณ์ภณ นามเมือง สารวัตรฯ สน.ทองหล่อ ไปควบคุม "พ่อบ้านของตระกูล" ชื่อสุเวศ หอมอุบล มารับโทษแทน โดยพ่อบ้านอ้างว่าเมาเหล้า และเป็นคนขับรถชนตำรวจเอง แต่ทว่าเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นใจกลางสุขุมวิท ทำให้มีคนเห็นเหตุการณ์จำนวนมาก และพ่อบ้านก็ไม่มีกลิ่นเหล้าติดตัวใดๆเลย คำสารภาพของเขาจึงไม่มีน้ำหนัก และพ่อบ้านยอมรับในเวลาต่อมาว่า "มารับผิดแทนลูกเจ้านาย"
11) ส่งผลให้ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นำตำรวจ 2 กองร้อยพร้อมหมายค้น ไปล้อมที่บ้านกระทิงแดงในซอยสุขุมวิท 53 เพื่อเอาตัวบอสมาสอบสวน ในบ้านพบเฟอร์รารี่ ทะเบียน ญญ1111 สภาพยับเยิน และนี่เป็นรถที่ชนดาบตำรวจวิเชียรเสียชีวิตแน่นอน
12) สุดท้าย บอส-วรยุทธ ออกมาจากบ้านและสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุจริง โดยตำรวจแจ้งความ 5 ข้อหา ขณะที่ พ.ต.ท.ปัณณ์ภณที่ยัดเยียดข้อหาให้พ่อบ้าน โดยเด้งจากสน.ทองหล่อ ไปช่วยราชการที่กองบัญชาการนครบาลแบบไม่มีกำหนด
13) พ.ต.ต. ธนสิทธิ แดงจั่น ผู้ตรวจสอบความเร็วของรถยนตร์ ระบุว่าบอส อยู่วิทยา ขับเฟอร์รารี่ด้วยความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสอดคล้องกับ การคำนวณของดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ที่ระบุว่า ความเร็วของเฟอร์รารี่ อยู่ที่ 177 กิโลเมตรเช่นเดียวกัน
14) บอส ขอประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 500,000 บาท ซึ่งตำรวจก็ยอม จากนั้น บอส-วรยุทธต้องไปตรวจวัดค่าแอลกอฮอล์ในร่างกาย ปรากฏว่ามีค่าแอลกอฮอล์เกินกว่ากฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม บอส-วรยุทธ อ้างว่าเขาไม่ได้เมาแล้วขับ แต่พอรถชนไปแล้วค่อยมากินเหล้า เพราะรู้สึกเครียด
ขณะที่ในการตรวจเลือด โดยโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่าในร่างกายของบอส มีการเสพโคเคน อย่างไรก็ตามในสำนวนของตำรวจที่ทำคดี กลับไม่มีหลักฐานชิ้นนี้ส่งฟ้องรวมอยู่ด้วย
15) สน.ทองหล่อ แจ้งข้อหาบอส-วรยุทธ 5 ข้อหาคือ
1- ขับรถขณะมึนเมา (อายุความ 5 ปี)
2- ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด (อายุความ 1 ปี)
3- ขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย (อายุความ 1 ปี)
4- ขับรถชนแล้วหนี (อายุความ 5 ปี)
5- ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (อายุความ 15 ปี)
16) ในข้อ 1 ขับรถมึนเมา อัยการ "ไม่สั่งฟ้อง" โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีหลักฐานว่าบอส อยู่วิทยา ดื่มเหล้าก่อนขับ หรือหลังขับ รวมถึงหลักฐานว่าเสพโคเคนจนมึนเมาก็ไม่มีอยู่ในสำนวนคดีเช่นกัน ดังนั้นจึงยกประโยชน์ให้จำเลย
17) ส่วนความผิดข้อ 2 และ 3 บอส อยู่วิทยา ขอเลื่อนคดีถึง 7 ครั้ง โดยอ้างเหตุผลว่า ติดธุระอยู่ที่สิงคโปร์ และ อ้างว่าขอให้สอบพยานเพิ่มอีก 5 ปาก ซึ่งสุดท้ายแล้ว การสั่งฟ้องไม่ทันเวลา ข้อหา 2 และ 3 จึงหมดอายุความในที่สุด
18) จากนั้นบอส อยู่วิทยา ได้บินไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยไม่กลับมาที่ประเทศไทยอีก จนวันที่ 3 กันยายน 2560 ข้อหาที่ 4 ขับรถชนแล้วหนีก็หมดอายุความไปอีก ทำให้ตอนนี้เหลือแค่ข้อหาเดียวเท่านั้น คือ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ที่มีอายุความ 15 ปี
19) มีคำถามจากสื่อมวลชนว่า ในเมื่อเห็นบอส อยู่วิทยา จงใจหนีคดีไปอังกฤษ ทำไมไม่ทำเรื่องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักอัยการสูงสุดกล่าวว่า "ระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนของตำรวจที่จะสืบหาว่าพำนักอยู่ที่ใด ซึ่งต้องสืบหาให้ได้ก่อน จากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน"
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ตำรวจยังไม่รู้อีกหรือ ว่าบอสอยู่ที่ไหน ในเมื่อสำนักข่าวต่างประเทศก็ลงข่าวกันครึกโครมว่าบอสอยู่ที่กรุงลอนดอน และออกไปช็อปปิ้งที่ห้างแฮร์ร็อดอย่างปกติสุข
รองโฆษกอัยการฯ กล่าวว่า "เป็นเรื่องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องดำเนินการ อัยการเราจะดำเนินขั้นตอนหลังจากที่ตำรวจส่งข้อมูลมาที่เรา"
20) จาก 5 ข้อหา ในตอนนี้เหลือเพียงแค่ข้อหาเดียวเท่านั้น โดยบอส อยู่วิทยามีทางรอดจากการติดคุกอยู่สองทางด้วยกัน ทางแรกคือหนีคดีต่อไปจนถึงปี 2570 เมื่อหมดอายุความ 15 ปี ก็จะสามารถกลับไทยได้โดยไม่โดนจับกุม กับอีกวิธีหนึ่งคือ อัยการไม่สั่งฟ้อง เพราะหลักฐานกระทำผิดน้อยเกินไป ซึ่งถ้าเป็นกรณีหลัง บอส อยู่วิทยาจะกลับไทยได้ทันทีในฐานะผู้บริสุทธิ์ โดยไม่ต้องรอถึงปี 2570
21) บอส อยู่วิทยา ไม่ต้องรอจนถึงปี 2570 นั่นเพราะ ทนายความของตระกูลได้ร้องขอความเป็นธรรมกับตำรวจให้สอบสวนพยานผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม ว่ารถเฟอร์รารี่ขับมาด้วยความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจริงหรือไม่ ซึ่งตำรวจไปหาพยานผู้เชี่ยวชาญสองราย ได้แก่ พ.ต.ท.สมยศ แอบเนียม และ พ.ต.ท.สุรพล เดชรัตนวิไชย ซึ่งปรากฏว่า เจ้าหน้าที่รายใหม่ ให้ความเห็นแย้งกับผู้ตรวจความเร็วคนเดิม และอาจารย์จากจุฬาฯ โดยระบุว่า รถเฟอร์รารี่ ความจริงแล้วขับด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง
22) ยิ่งไปกว่านั้น วันที่ 4 ธันวาคม 2562 มีพยานสองคนที่ออกมาให้ปากคำ หลังจากคดีผ่านไปแล้ว 7 ปี ได้แก่ พล.อ.ท. จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และ นายจารุชาติ มาดทอง โดยระบุว่าทั้งคู่เห็นเหตุการณ์พอดี และยืนยันว่ารถเฟอร์รารี่ ขับมาด้วยความเร็วราวๆ 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
โดยพยานรายใหม่นายจารุชาติอ้างว่า ได้เห็นมอเตอร์ไซค์ของผู้ตายที่อยู่เลนกลาง ขับเบี่ยงไปช่องขวาสุดเอง ดังนั้นด้วยความกระชั้นชิดนายบอส จึงไม่สามารถหักหลบได้พ้น
23) ด้วยหลักฐานใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ล้มล้างสิ่งที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมด กลายเป็นว่าบอส อยู่วิทยาไม่ได้ขับรถเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ขับเร็วแค่ไม่เกิน 80 กิโลฯ เท่านั้น และจากเดิมที่เชื่อว่านายบอสเหยียบมิดด้วยความเมาชนตำรวจตายแบบไม่รู้ตัว กลายเป็นว่าผู้ตายกระทำความผิดร่วมด้วยการเบี่ยงเข้ามาเอง
ในสำนวนของตำรวจจึงระบุให้บอส อยู่วิทยาเป็น ผู้ต้องหาที่ 1 และ ดาบตำรวจวิเชียรผู้ตาย เป็นผู้ต้องหาที่ 2
24) ตำรวจนำส่งหลักฐานชิ้นใหม่นี้ให้อัยการ และอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ได้เซ็นชื่อมีคำสั่งในวันที่ 17 มิถุนายน 2563 โดยมีเนื้อความระบุว่า
"ผู้ต้องหาที่ 2 (ผู้ตาย) ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนจากฝ่ายผู้ต้องหาที่ 1 จนเป็นที่น่าพอใจ และไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทางแพ่งและทางอาญา กับผู้ต้องหาที่ 1 อีกต่อไปแล้ว จึงมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1" ลงชื่อโดยนายสมพงษ์ ภุชงค์โสภาพันธุ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1
25) อาชีพอัยการ คือทนายของแผ่นดิน ถ้าหากมีคดีอาญาเกิดขึ้น อัยการจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะนำเรื่องนี้ส่งต่อให้ศาลตัดสินคดีหรือไม่ โดยหลักการคดีอาญานั้นระบุว่า "เมื่ออัยการมีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิดกฎหมาย อัยการต้องยื่นฟ้องต่อศาลเสมอ และเมื่อฟ้องคดีแล้วจะถอนฟ้องไม่ได้"
แต่ในคดีนี้ อัยการไม่ตีกลับให้ตำรวจไปสืบสวนเพิ่มเติม แต่เชื่อในสำนวนของตำรวจทันที โดยมองว่า บอส อยู่วิทยาแม้จะขับรถชนคนตาย แต่ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย สุดท้ายอัยการจึงไม่สั่งฟ้อง นั่นทำให้คดีสิ้นสุดลงทันที และบอส อยู่วิทยา จึงกลายเป็นผู้บริสุทธิ์แม้จะหลบหนีไปอยู่อังกฤษมานานหลายปีก็ตาม
26) คำถามที่ประชาชนสงสัยคือ สำนวนที่เปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ จากเดิม ความเร็วเฟอร์รารี่อยู่ที่ 177 กิโลฯ ต่อชม. กลับลดเหลือ 80 กิโลฯ ต่อชม. ได้อย่างไร งั้นแสดงว่าผู้ตรวจสอบคนแรก และอาจารย์สาขาวิชาฟิสิกส์จากจุฬาฯคำนวณผิดงั้นหรือ
27) รวมถึงประเด็นว่า คำอ้างอิงของพยานปากใหม่ ที่บอกว่าตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์เบี่ยงมาชนเฟอร์รารี่เอง ทำไมพยานทั้งคู่ มาเป็นพลเมืองดีเอาตอนนี้ ทั้งๆที่คดีผ่านไป 7-8 ปีแล้ว และใครจะยืนยันได้ ว่าทั้งสองคนอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ
28) ขณะที่กระแสความโกรธเกรี้ยว แผ่ไปทั่วโลกและในประเทศ สำนักข่าวดัง นิวยอร์กไทม์ส พาดหัวว่า "ประเทศไทยไม่สั่งฟ้องทายาทเรดบูลล์ทุกข้อหา" ขณะที่ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ระบุว่า "การที่สำนักงานอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาคดีนี้ที่หลบหนีอยู่ที่ต่างประเทศ เป็นการตอกย้ำสิ่งที่พูดกันว่า คุกมีไว้ขังแค่คนจน ส่วนคนรวยจะหลุดรอดเพราะมีเส้นสายและวิ่งเต้นได้ ว่าเป็นเรื่องจริง"
29) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาแถลงว่า "ตอนนี้คดีสิ้นสุดแล้วอย่างที่อัยการบอก ถ้ามีหลักฐานใหม่ หรือมีผู้เสียหาย หรือญาติที่จะไปฟ้องร้องเองก็คงไม่ตัดสิทธิ์"
โดยตามกฎหมายนั้น พ่อแม่ คู่สมรส และบุตร สามารถขอดำเนินคดีใหม่ได้ ถ้าได้หลักฐานชิ้นใหม่มา อย่างไรก็ตาม ตัวดาบตำรวจวิเชียรหย่าร้างกับภรรยาแล้ว ไม่มีบุตรด้วยกัน และพ่อแม่ก็เสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นในทางปฏิบัติก็เท่ากับว่าคดีนี้ ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แล้วนั่นเอง
30) ล่าสุดประเด็นร้อนนี้ เรื่องไปถึงนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชาเรียบร้อยแล้ว โดยพล.อ.ประยุทธ์ ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถเปลี่ยนคำสั่งของอัยการที่ไม่สั่งฟ้องได้
31) บรรยากาศของโลกออนไลน์ในไทย มีความกราดเกรี้ยว และมีการประกาศจะแบนสินค้าแบรนด์กระทิงแดง ซึ่งทำให้กลุ่มธุรกิจ TCP ต้องออกจดหมายมาชี้แจงว่า "วรยุทธ อยู่วิทยา ไม่เคยเป็นผู้ถือหุ้น และไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหาร และไม่เคยดำรงตำแหน่งใดๆในบริษัท"
32) บทสรุปของคดีนี้ เหตุการณ์รถชนเกิดขึ้นในวันที่ 4 กันยายน 2555 จนถึงปัจจุบัน ก็ผ่านมาแล้ว 7 ปีกับอีก 10 เดือน ในที่สุดบอส อยู่วิทยา ลูกชายคนสุดท้องของ เฉลิม อยู่วิทยา เจ้าของอาณาจักรเรดบูลล์ ผู้ร่ำรวยที่สุดอันดับ 2 ในประเทศไทย ก็ถูกตัดสินว่าไม่มีความผิด และไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว แม้จะขับรถชนคนตายก็ตามที
#workpointTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
...
คนไม่อาจจะเท่ากันภายใต้ระบอบอำนาจนิยม ชนขั้นพิเศษทำอะไรก็ไม่ติดคุก
Hara Shintaro
หัวหน้าคสช.
คือนายก ตอนนี้
555555..
คือ..บับ บันเทิงค่ะ พรดิ๊ฟ มาเล่นเรื่อง บอส กระทิงแดง
งานนี้ กรรม คือการกระทำ จะอยู่ที่ใคร
...
#EXPLAINER ทำไมบอส อยู่วิทยา ลูกชายคนสุดท้องของเฉลิม อยู่วิทยา เจ้าของเรดบูลล์ ถึงไม่ติดคุก แม้จะขับรถชนคนตายคาที่ เหตุใดสังคมถึงตั้งคำถามทั้งตำรวจ และอัยการ อย่างรุนแรงขนาดนี้ workpointTODAY อธิบายโพสต์เดียวเคลียร์ใน 32 ข้อ
1) การจัดอันดับผู้ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย ของนิตยสาร Forbes ปรากฏว่า อันดับ 2 คือเจ้าของธุรกิจ "กระทิงแดง" ของตระกูลอยู่วิทยา มีทรัพย์สินรวม 6.6 แสนล้านบาท
2) จุดเริ่มต้นของแบรนด์กระทิงแดง เกิดขึ้นในปี 2499 เมื่อเฉลียว อยู่วิทยา ตั้งบริษัทขายยาชื่อทีซี ฟาร์มาซูติคอล (TCP) โดยเฉลียวคิดค้นสูตรยาหลายประเภท จนมาถึงปี 2519 เขาคิดค้นเครื่องดื่มกระทิงแดงขึ้นมา และกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมทันที เพราะให้ทั้งพลังงานและรสชาติที่ดี
3) เฉลียว อยู่วิทยา ทำธุรกิจในไทยเป็นหลัก และมีส่งออกกระทิงแดงไปในชาติเอเชียบ้าง แต่ในปี 2527 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อดีทริช เมเทสซิทซ์ นักการตลาดชาวออสเตรียขอซื้อสูตรของกระทิงแดงเพื่อเอาไปทำตลาดในทวีปยุโรป
ดีทริชกับเฉลียว ร่วมกันก่อตั้งบริษัทชื่อ Red Bull GmbH โดยแบ่งหุ้นส่วน ให้ดีทริช 49% เฉลียว 49% และลูกชายของเฉลียว คือเฉลิม อยู่วิทยา 2% ซึ่งแม้ฝั่งอยู่วิทยาจะถือหุ้นมากกว่า แต่ดีทริช จะทำการตลาดด้วยตัวเอง
4) กระทิงแดง ขายได้ดีที่ไทย แต่ทว่า Red Bull ภายใต้การดูแลของดีทริชกลับไปได้ไกลกว่ามาก โดยสามารถตีตลาดยุโรป และอเมริกาได้สำเร็จ เป็นเครื่องดื่มพลังงานยี่ห้อต้นๆที่คนจะนึกถึง ซึ่งการขายดีของ Red Bull GmbH ทำให้ฐานะของตระกูลอยู่วิทยามั่งคั่งไปด้วยโดยปริยาย เนื่องจากพวกเขามีหุ้นส่วนบริษัทในมือถึง 51%
ตอนนี้ตระกูลอยู่วิทยามีรายได้สองทาง ทางแรกคือจาก TCP ที่นอกจากกระทิงแดงแล้ว ก็มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิด เช่น เครื่องดื่ม Man Some หรือ Ready เป็นต้น ส่วนทางที่สอง คือจาก Red Bull GmbH ที่ดีทริชคอยปั้นกำไรให้
5) เฉลียวเสียชีวิตในปี 2555 ลูกชายเฉลิมขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลแทน โดยเฉลิมแต่งงานกับดารณี ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 3 คน ได้แก่
- พี่สาวคนโต วรางคณา ชื่อเล่นแชมเปญ
- ลูกคนรอง วาริท ชื่อเล่นปอร์เช่
- น้องชายคนเล็ก วรยุทธ ชื่อเล่นบอส
6) เฉลิมและดารณีส่งลูก 2 คนโตไปเรียนอังกฤษ โดยตอนแรกทั้งคู่ปล่อยลูกให้อยู่กันเอง เพราะเฉลิมต้องกลับมาช่วยธุรกิจที่บ้าน โดยดารณีกล่าวว่า "เกิดมาไม่เคยจากลูกเลย แต่จำเป็นต้องกลับเมืองไทย เพราะคุณเฉลิมต้องช่วยธุรกิจของคุณพ่อ พอส่งลูกเสร็จมาเมืองไทยได้ 2 อาทิตย์ นั่งทานข้าวอยู่ด้วยกัน จู่ๆน้ำตาก็ไหลพรากทั้งคู่ เดี๋ยวๆก็คิดถึงลูก ต้องชวนกันบินไปเยี่ยมทุกเดือน แล้วก็ค่อยๆกลายเป็นบินไปทุก 2 อาทิตย์ จนทนไม่ไหว จากนั้นเลยตัดสินใจตามไปอยู่ดูแลลูกที่อังกฤษ เอาลูกชายคนเล็กน้องบอสไปเรียนที่อังกฤษด้วย"
7) ตระกูลอยู่วิทยา ไม่ใช่แค่ร่ำรวยจากธุรกิจของตัวเองเท่านั้น แต่ยังสร้างคอนเน็กชั่นไว้มากมายกับระดับ Elite ของประเทศ ลูกสาวคนโตวรางคณา แต่งงานกับหม่อมหลวงกอกฤษต กฤดากร ขณะที่ลูกคนรองปอร์เช่-วาริท ร่วมกับวรวุฒิ ภิรมย์ภักดี ทายาทแบรนด์สิงห์ จับมือกันทำธุรกิจนำเข้ารถหรูเฟอร์รารี่
8) ครอบครัวอยู่วิทยาหลงรักในความเร็วมาก ปอร์เช่-วาริท เคยเล่าเอาไว้ในปี 2552 ว่า "คุณพ่อเป็นคนชอบขับรถเร็ว แต่ท่านก็ให้ความสำคัญเรื่องการขับขี่อย่างปลอดภัยมาก ตั้งแต่พวกเรายังเล็กๆ คุณพ่อส่งให้ไปเรียนขับรถทุกคน ทำให้ลูกๆรักการแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจ ทุกวันนี้ ที่บ้านเรามีรถเฟอร์รารี่ 3 คัน"
9) วันที่ 3 กันยายน 2555 เวลา 05.30 น. ลูกชายคนเล็กของครอบครัว บอส-วรยุทธ วัย 27 ปี ขับรถเฟอร์รารี่ สีบรอนซ์เทา รุ่น FF ราคาประมาณ 15 ล้านบาท พุ่งชน วิเชียร กลั่นประเสริฐ ดาบตำรวจจากสถานีทองหล่อ ขณะกำลังขับตรวจลาดตระเวน ที่ปากซอยสุขุมวิท 47 ดาบตำรวจวิเชียรตายคาที่ และด้วยความเร็วของรถยนต์ได้ลากศพของตำรวจไปไกลกว่า 200 เมตร โดยศพไปหยุดนิ่งที่ซอยสุขุมวิท 49
จากนั้นบอส-วรยุทธ รีบขับรถกลับบ้านตัวเอง ที่อยู่ภายในซอยสุขุมวิท 53 ทันที ซึ่งระหว่างทาง มีคราบน้ำมันจากจุดเกิดเหตุไปถึงภายในบ้าน ทำให้ตำรวจแกะรอยได้ง่ายมากว่าคนร้ายไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
10) ในตอนแรก บอส อยู่วิทยา ไม่ยอมออกมารับความผิด ยิ่งไปกว่านั้นมีนายตำรวจร่างหนึ่ง ชื่อ พ.ต.ท.ปัณณ์ภณ นามเมือง สารวัตรฯ สน.ทองหล่อ ไปควบคุม "พ่อบ้านของตระกูล" ชื่อสุเวศ หอมอุบล มารับโทษแทน โดยพ่อบ้านอ้างว่าเมาเหล้า และเป็นคนขับรถชนตำรวจเอง แต่ทว่าเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นใจกลางสุขุมวิท ทำให้มีคนเห็นเหตุการณ์จำนวนมาก และพ่อบ้านก็ไม่มีกลิ่นเหล้าติดตัวใดๆเลย คำสารภาพของเขาจึงไม่มีน้ำหนัก และพ่อบ้านยอมรับในเวลาต่อมาว่า "มารับผิดแทนลูกเจ้านาย"
11) ส่งผลให้ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นำตำรวจ 2 กองร้อยพร้อมหมายค้น ไปล้อมที่บ้านกระทิงแดงในซอยสุขุมวิท 53 เพื่อเอาตัวบอสมาสอบสวน ในบ้านพบเฟอร์รารี่ ทะเบียน ญญ1111 สภาพยับเยิน และนี่เป็นรถที่ชนดาบตำรวจวิเชียรเสียชีวิตแน่นอน
12) สุดท้าย บอส-วรยุทธ ออกมาจากบ้านและสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุจริง โดยตำรวจแจ้งความ 5 ข้อหา ขณะที่ พ.ต.ท.ปัณณ์ภณที่ยัดเยียดข้อหาให้พ่อบ้าน โดยเด้งจากสน.ทองหล่อ ไปช่วยราชการที่กองบัญชาการนครบาลแบบไม่มีกำหนด
13) พ.ต.ต. ธนสิทธิ แดงจั่น ผู้ตรวจสอบความเร็วของรถยนตร์ ระบุว่าบอส อยู่วิทยา ขับเฟอร์รารี่ด้วยความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสอดคล้องกับ การคำนวณของดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ที่ระบุว่า ความเร็วของเฟอร์รารี่ อยู่ที่ 177 กิโลเมตรเช่นเดียวกัน
14) บอส ขอประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 500,000 บาท ซึ่งตำรวจก็ยอม จากนั้น บอส-วรยุทธต้องไปตรวจวัดค่าแอลกอฮอล์ในร่างกาย ปรากฏว่ามีค่าแอลกอฮอล์เกินกว่ากฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม บอส-วรยุทธ อ้างว่าเขาไม่ได้เมาแล้วขับ แต่พอรถชนไปแล้วค่อยมากินเหล้า เพราะรู้สึกเครียด
ขณะที่ในการตรวจเลือด โดยโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่าในร่างกายของบอส มีการเสพโคเคน อย่างไรก็ตามในสำนวนของตำรวจที่ทำคดี กลับไม่มีหลักฐานชิ้นนี้ส่งฟ้องรวมอยู่ด้วย
15) สน.ทองหล่อ แจ้งข้อหาบอส-วรยุทธ 5 ข้อหาคือ
1- ขับรถขณะมึนเมา (อายุความ 5 ปี)
2- ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด (อายุความ 1 ปี)
3- ขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย (อายุความ 1 ปี)
4- ขับรถชนแล้วหนี (อายุความ 5 ปี)
5- ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (อายุความ 15 ปี)
16) ในข้อ 1 ขับรถมึนเมา อัยการ "ไม่สั่งฟ้อง" โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีหลักฐานว่าบอส อยู่วิทยา ดื่มเหล้าก่อนขับ หรือหลังขับ รวมถึงหลักฐานว่าเสพโคเคนจนมึนเมาก็ไม่มีอยู่ในสำนวนคดีเช่นกัน ดังนั้นจึงยกประโยชน์ให้จำเลย
17) ส่วนความผิดข้อ 2 และ 3 บอส อยู่วิทยา ขอเลื่อนคดีถึง 7 ครั้ง โดยอ้างเหตุผลว่า ติดธุระอยู่ที่สิงคโปร์ และ อ้างว่าขอให้สอบพยานเพิ่มอีก 5 ปาก ซึ่งสุดท้ายแล้ว การสั่งฟ้องไม่ทันเวลา ข้อหา 2 และ 3 จึงหมดอายุความในที่สุด
18) จากนั้นบอส อยู่วิทยา ได้บินไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยไม่กลับมาที่ประเทศไทยอีก จนวันที่ 3 กันยายน 2560 ข้อหาที่ 4 ขับรถชนแล้วหนีก็หมดอายุความไปอีก ทำให้ตอนนี้เหลือแค่ข้อหาเดียวเท่านั้น คือ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ที่มีอายุความ 15 ปี
19) มีคำถามจากสื่อมวลชนว่า ในเมื่อเห็นบอส อยู่วิทยา จงใจหนีคดีไปอังกฤษ ทำไมไม่ทำเรื่องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักอัยการสูงสุดกล่าวว่า "ระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนของตำรวจที่จะสืบหาว่าพำนักอยู่ที่ใด ซึ่งต้องสืบหาให้ได้ก่อน จากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน"
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ตำรวจยังไม่รู้อีกหรือ ว่าบอสอยู่ที่ไหน ในเมื่อสำนักข่าวต่างประเทศก็ลงข่าวกันครึกโครมว่าบอสอยู่ที่กรุงลอนดอน และออกไปช็อปปิ้งที่ห้างแฮร์ร็อดอย่างปกติสุข
รองโฆษกอัยการฯ กล่าวว่า "เป็นเรื่องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องดำเนินการ อัยการเราจะดำเนินขั้นตอนหลังจากที่ตำรวจส่งข้อมูลมาที่เรา"
20) จาก 5 ข้อหา ในตอนนี้เหลือเพียงแค่ข้อหาเดียวเท่านั้น โดยบอส อยู่วิทยามีทางรอดจากการติดคุกอยู่สองทางด้วยกัน ทางแรกคือหนีคดีต่อไปจนถึงปี 2570 เมื่อหมดอายุความ 15 ปี ก็จะสามารถกลับไทยได้โดยไม่โดนจับกุม กับอีกวิธีหนึ่งคือ อัยการไม่สั่งฟ้อง เพราะหลักฐานกระทำผิดน้อยเกินไป ซึ่งถ้าเป็นกรณีหลัง บอส อยู่วิทยาจะกลับไทยได้ทันทีในฐานะผู้บริสุทธิ์ โดยไม่ต้องรอถึงปี 2570
21) บอส อยู่วิทยา ไม่ต้องรอจนถึงปี 2570 นั่นเพราะ ทนายความของตระกูลได้ร้องขอความเป็นธรรมกับตำรวจให้สอบสวนพยานผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม ว่ารถเฟอร์รารี่ขับมาด้วยความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจริงหรือไม่ ซึ่งตำรวจไปหาพยานผู้เชี่ยวชาญสองราย ได้แก่ พ.ต.ท.สมยศ แอบเนียม และ พ.ต.ท.สุรพล เดชรัตนวิไชย ซึ่งปรากฏว่า เจ้าหน้าที่รายใหม่ ให้ความเห็นแย้งกับผู้ตรวจความเร็วคนเดิม และอาจารย์จากจุฬาฯ โดยระบุว่า รถเฟอร์รารี่ ความจริงแล้วขับด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง
22) ยิ่งไปกว่านั้น วันที่ 4 ธันวาคม 2562 มีพยานสองคนที่ออกมาให้ปากคำ หลังจากคดีผ่านไปแล้ว 7 ปี ได้แก่ พล.อ.ท. จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และ นายจารุชาติ มาดทอง โดยระบุว่าทั้งคู่เห็นเหตุการณ์พอดี และยืนยันว่ารถเฟอร์รารี่ ขับมาด้วยความเร็วราวๆ 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
โดยพยานรายใหม่นายจารุชาติอ้างว่า ได้เห็นมอเตอร์ไซค์ของผู้ตายที่อยู่เลนกลาง ขับเบี่ยงไปช่องขวาสุดเอง ดังนั้นด้วยความกระชั้นชิดนายบอส จึงไม่สามารถหักหลบได้พ้น
23) ด้วยหลักฐานใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ล้มล้างสิ่งที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมด กลายเป็นว่าบอส อยู่วิทยาไม่ได้ขับรถเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ขับเร็วแค่ไม่เกิน 80 กิโลฯ เท่านั้น และจากเดิมที่เชื่อว่านายบอสเหยียบมิดด้วยความเมาชนตำรวจตายแบบไม่รู้ตัว กลายเป็นว่าผู้ตายกระทำความผิดร่วมด้วยการเบี่ยงเข้ามาเอง
ในสำนวนของตำรวจจึงระบุให้บอส อยู่วิทยาเป็น ผู้ต้องหาที่ 1 และ ดาบตำรวจวิเชียรผู้ตาย เป็นผู้ต้องหาที่ 2
24) ตำรวจนำส่งหลักฐานชิ้นใหม่นี้ให้อัยการ และอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ได้เซ็นชื่อมีคำสั่งในวันที่ 17 มิถุนายน 2563 โดยมีเนื้อความระบุว่า
"ผู้ต้องหาที่ 2 (ผู้ตาย) ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนจากฝ่ายผู้ต้องหาที่ 1 จนเป็นที่น่าพอใจ และไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทางแพ่งและทางอาญา กับผู้ต้องหาที่ 1 อีกต่อไปแล้ว จึงมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1" ลงชื่อโดยนายสมพงษ์ ภุชงค์โสภาพันธุ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1
25) อาชีพอัยการ คือทนายของแผ่นดิน ถ้าหากมีคดีอาญาเกิดขึ้น อัยการจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะนำเรื่องนี้ส่งต่อให้ศาลตัดสินคดีหรือไม่ โดยหลักการคดีอาญานั้นระบุว่า "เมื่ออัยการมีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิดกฎหมาย อัยการต้องยื่นฟ้องต่อศาลเสมอ และเมื่อฟ้องคดีแล้วจะถอนฟ้องไม่ได้"
แต่ในคดีนี้ อัยการไม่ตีกลับให้ตำรวจไปสืบสวนเพิ่มเติม แต่เชื่อในสำนวนของตำรวจทันที โดยมองว่า บอส อยู่วิทยาแม้จะขับรถชนคนตาย แต่ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย สุดท้ายอัยการจึงไม่สั่งฟ้อง นั่นทำให้คดีสิ้นสุดลงทันที และบอส อยู่วิทยา จึงกลายเป็นผู้บริสุทธิ์แม้จะหลบหนีไปอยู่อังกฤษมานานหลายปีก็ตาม
26) คำถามที่ประชาชนสงสัยคือ สำนวนที่เปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ จากเดิม ความเร็วเฟอร์รารี่อยู่ที่ 177 กิโลฯ ต่อชม. กลับลดเหลือ 80 กิโลฯ ต่อชม. ได้อย่างไร งั้นแสดงว่าผู้ตรวจสอบคนแรก และอาจารย์สาขาวิชาฟิสิกส์จากจุฬาฯคำนวณผิดงั้นหรือ
27) รวมถึงประเด็นว่า คำอ้างอิงของพยานปากใหม่ ที่บอกว่าตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์เบี่ยงมาชนเฟอร์รารี่เอง ทำไมพยานทั้งคู่ มาเป็นพลเมืองดีเอาตอนนี้ ทั้งๆที่คดีผ่านไป 7-8 ปีแล้ว และใครจะยืนยันได้ ว่าทั้งสองคนอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ
28) ขณะที่กระแสความโกรธเกรี้ยว แผ่ไปทั่วโลกและในประเทศ สำนักข่าวดัง นิวยอร์กไทม์ส พาดหัวว่า "ประเทศไทยไม่สั่งฟ้องทายาทเรดบูลล์ทุกข้อหา" ขณะที่ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ระบุว่า "การที่สำนักงานอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาคดีนี้ที่หลบหนีอยู่ที่ต่างประเทศ เป็นการตอกย้ำสิ่งที่พูดกันว่า คุกมีไว้ขังแค่คนจน ส่วนคนรวยจะหลุดรอดเพราะมีเส้นสายและวิ่งเต้นได้ ว่าเป็นเรื่องจริง"
29) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาแถลงว่า "ตอนนี้คดีสิ้นสุดแล้วอย่างที่อัยการบอก ถ้ามีหลักฐานใหม่ หรือมีผู้เสียหาย หรือญาติที่จะไปฟ้องร้องเองก็คงไม่ตัดสิทธิ์"
โดยตามกฎหมายนั้น พ่อแม่ คู่สมรส และบุตร สามารถขอดำเนินคดีใหม่ได้ ถ้าได้หลักฐานชิ้นใหม่มา อย่างไรก็ตาม ตัวดาบตำรวจวิเชียรหย่าร้างกับภรรยาแล้ว ไม่มีบุตรด้วยกัน และพ่อแม่ก็เสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นในทางปฏิบัติก็เท่ากับว่าคดีนี้ ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แล้วนั่นเอง
30) ล่าสุดประเด็นร้อนนี้ เรื่องไปถึงนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชาเรียบร้อยแล้ว โดยพล.อ.ประยุทธ์ ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถเปลี่ยนคำสั่งของอัยการที่ไม่สั่งฟ้องได้
31) บรรยากาศของโลกออนไลน์ในไทย มีความกราดเกรี้ยว และมีการประกาศจะแบนสินค้าแบรนด์กระทิงแดง ซึ่งทำให้กลุ่มธุรกิจ TCP ต้องออกจดหมายมาชี้แจงว่า "วรยุทธ อยู่วิทยา ไม่เคยเป็นผู้ถือหุ้น และไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหาร และไม่เคยดำรงตำแหน่งใดๆในบริษัท"
32) บทสรุปของคดีนี้ เหตุการณ์รถชนเกิดขึ้นในวันที่ 4 กันยายน 2555 จนถึงปัจจุบัน ก็ผ่านมาแล้ว 7 ปีกับอีก 10 เดือน ในที่สุดบอส อยู่วิทยา ลูกชายคนสุดท้องของ เฉลิม อยู่วิทยา เจ้าของอาณาจักรเรดบูลล์ ผู้ร่ำรวยที่สุดอันดับ 2 ในประเทศไทย ก็ถูกตัดสินว่าไม่มีความผิด และไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว แม้จะขับรถชนคนตายก็ตามที
#workpointTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
...
คนไม่อาจจะเท่ากันภายใต้ระบอบอำนาจนิยม ชนขั้นพิเศษทำอะไรก็ไม่ติดคุก
Hara Shintaro