อะไรมันจะรวดเร็วถึงใจ “อีนางโชว์สีลมซอย ๒”
(คำของ ‘ปวิน’) ได้เพียงนี้
‘โตโต้’ ปิยรัฐ จงเทพ ไปร่วมปราศรัย #ไม่ทนอีกต่อไป #ให้มันจบที่รุ่นเรา
ทั้งที่อนุสาวรีย์ ปชต. และที่หน้า บก.ทบ. วันนี้ศาลฎีกาสั่ง จำคุก ๔ เดือน ปรับ ๔
พันบาท
ดีหน่อยที่โทษจำคุกให้รอลงอาญา ๑ ปี
และลดลงมาแล้วจากคำพิพากษาเขาและเพื่อนจำเลยอีก ๒ คน ให้จำคุก ๖ เดือน ปรับ ๖
พันบาท จากคดี #ฉีกบัตรประชามติ ว่า “ก่อให้เกิดความวุ่นวาย
จงใจให้สาธารณะชนเห็น อาจทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ”
คนอื่นๆ เช่นหัวโจกที่ไปประท้วงหน้าทัพบก
อย่าง อานนท์ นำภา และพริษฐ์ ชีวารักษ์ ที่ต่างก็มีชนักกฎหมายรัฐประหารปักต้นคอกันคนละหลายดอก
จะจังหวะปะเหมาะโป๊ะเชะกันเมื่อไหร่ไม่รู้ได้
แต่ว่าตอนนี้กระแสขับไล่คนแก่ยึดอำนาจยังร้อน จึงต้องเร่งตีเหล็กอย่ายั้ง
จะเอาอย่างอีก ‘พริษฐ์’ (‘ไอติม’ วัชรสินธุ) “หนักแน่นในจุดยืน
แต่อ่อนน้อมด้วยท่าที” อาจไม่ใช่ยุทธวิธีที่เหมาะกับสถานการณ์ก็ได้ การแสดง “อารมณ์โมโหหรือไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”
เป็นเพียงข้ออ้างของอำนาจรัฐทหาร เพื่อจะ “มองข้ามความคิดที่ดีของเรา” เท่านั้น
แบบที่พริษฐ์
(เพ็นกวิน) ฉีกภาพผู้บัญชาการทหารบกเมื่อวานซืน เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นต่อสู้กับผู้ใหญ่ประเภท
‘ไดโนเสาร์’
ไม่เช่นนั้นสัตว์ดึกดำบรรพ์จะเอาแต่ข่มเหงร่ำไป หรือไม่ก็ลูบหลังก่อนแล้วค่อยตบหัว
ไม่เคยมีผู้ใหญ่ในการเมืองไทย ‘ลังเล’ กับการรวบรัด
‘กำอำนาจ’
ในหลักการของพริษฐ์
(ไอติม) เสนอไว้เมื่อวานขอเอี่ยวขบวนคนรุ่นใหม่ โดยรวมแล้วใช้ได้เลย แต่ยุทธวิธีที่จะให้ได้มาตามนั้นอย่าหวัง
เช่นการแก้รัฐธรรมนูญ “เป็นสิ่งที่ยากมาก ต้องมี ส.ว. ๘๔ คนเห็นด้วยถึงจะแก้ได้”
นั่นหมายถึงต้องไม่มีร่างทรง คสช.เหลืออยู่เสียก่อน
ใช่แล้วที่ไอติมว่า
“การใช้ภาษาที่สุภาพและนำเสนอความเห็นด้วยการให้เหตุผล...เชิญชวนให้คนที่ลังเลหรือเห็นต่างกับเรา
หันมาเริ่มเปิดใจรับฟังและเปลี่ยนมาเห็นด้วยกับสิ่งที่เรานำเสนอ” แต่ไม่ใช่กับพวกนักยึดอำนาจที่ไม่เคยรับฟังความเห็นต่างมาอย่างน้อยๆ
๖ ปีนี่แล้ว
ถึงอย่างไรเป็นที่น่ายินดี
คนรุ่นใหม่ที่เคยมีพื้นฐานของชนชั้น ‘อภิสิทธิ์’ คิดได้อย่างนั้น
หากพยายามอีกนิดทำความเข้าใจจิตสำนึกของผู้เจ็บช้ำ ซึ่ง “ปลดปล่อยความไม่พึงพอใจ
หรือการสร้างอารมณ์ร่วมในกลุ่มคนที่คิดเห็นตรงกัน” เสียหน่อย จะเข้าขบวนกับเขาได้
อีกคนในสาย ‘อยู่เป็น’
และเคยออกแนวซ่าหริ่มมาบ้างเหมือนกัน เป็นนักวิชาการกฎหมายที่อาจจะเพิ่งดวงตาเห็นธรรม
(อาจยังไม่สว่างนัก) จากที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ กกต.ไว้ที่ ‘New Consensus Thailand’
คือ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อดีตคณบดีฯ นิด้า
ว่า “จะแก้ปัญหาของ กกต.ในระยะยาวได้
ผ่านการแก้หรือร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่...ต้องขยายการมีส่วนร่วม ของภาคประชาชน
ให้สามารถมีสิทธิในการเข้าไปดำรงตำแหน่ง กกต.ได้ ไม่ใช่จำกัดเฉพาะข้าราชการหรือนักวิชาการระดับสูง”
เขาต่อความไปถึงเรื่องการสรรหา
กกต.ให้ถูกต้อง “มีความสัมพันธ์กับการออกแบบวุฒิสมาชิก
ซึ่งในที่สุดแล้วตนเสนอว่าควรยกเลิกวุฒิสมาชิกไปเลย เพราะ...วุฒิสมาชิกมีประโยชน์น้อยมากในแง่ของพัฒนาการทางการเมือง”
พิชายเสนอให้มี ‘สภาพลเมือง’ มาแทนที่ สว. “ไม่มีอำนาจในทางนิติบัญญัติ
ไม่ต้องกลั่นกรองกฎหมาย ให้มีหน้าที่เพียงประเมินผลการทำงานของรัฐบาลและ ส.ส.
และอาจจะเป็นผู้รับรององค์กรอิสระด้วยก็พอ” เป็นลักษณะองค์กรตรวจสอบ
แต่ “องค์กรเหล่านั้นต้องถูกองค์กรอื่นตรวจสอบได้ด้วย
ต้องทำเป็นวงจรการตรวจสอบ อย่าตั้งเป็นองค์กรเทวดาที่ตรวจสอบไม่ได้ เพื่อที่จะไม่ให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งมีอำนาจมากจนเกินไป
จนเแตะต้องไม่ได้อย่างที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้” นึกออกไหมว่าใคร (ตลก.)
ในส่วนของ กกต.ชุดปัจจุบัน
แม้นว่าพิชายจะไม่กร้ำกรายไปถึงทำงานตามที่นาย (คนตั้ง) สั่งหรือไม่ เขาชี้ “ตอนนี้ประชาชนมีเครื่องมือในการสร้างพลังกดดันการทำงานของ
กกต.ไม่น้อย ทั้งสื่อสังคมออนไลน์ การเปิดเผยสู่สาธารณะ”
เขาแนะ “ประชาชนต้องเข้าไปกระตุ้น
เข้าไปตรวจสอบ โดยเฉพาะถ้ามีการเลือกตั้งท้องถิ่นต่อไปในอนาคต รวมถึงในการเลือกตั้งทั่วไปในอนาคตด้วย
ประชาชนต้องซ้อมมือสำหรับอนาคต อาจจะทำที่สมุทรปราการต่อก็ได้”
จะเห็นว่าเป็นแนวคิดที่จุดติดแล้วในหมู่คนรุ่นใหม่
ซึ่งกำลังทำกิจกรรมกันอย่างขมักเขม้น โดยพื้นฐานเป็นหลักการปฏิรูปที่อย่าว่าแต่จะทำสำเร็จ
หากแต่ถูกใช้เป็นวาทกรรมลวงโลก ไม่เคยได้ทำอย่างจริงจัง
แต่เด็กรุ่นนี้เอามาทำในลักษณะ ‘ปฏิวัติ’
พวกเขาจึงไม่ได้ ‘อ่อนน้อมถ่อมตน’ อย่างที่ ‘ไอติม’ ต้องการ เพราะไม่จำเป็น มิฉะนั้นจะเป็นการปฏิรูปลวงโลกอย่างเคย