สารภาพว่าผิดคาด การชุมนุม #เยาวชนปลดแอก วันนี้ ผมเองยังคิดว่าจะมีคนไปแค่ 2-300 คน ไม่คิดว่าจะเป็น 2-3,000 ทั้งๆ ที่นักศึกษายังปิดเทอม (ธรรมศาสตร์ จุฬา เปิด 10 ส.ค.)
การชุมนุมส่งผลสะเทือนกว่าทุกครั้ง แม้จำนวนยังไม่เท่าแฟลชม็อบก่อนโควิด แต่นี่คือการท้าทายอำนาจฉุกเฉินกลางราชดำเนิน อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไม่ใช่ในมหาวิทยาลัย
แล้วก็ได้อารมณ์ร่วมมากขึ้นในความห่วยของรัฐบาลส้นตีน เก่งแต่ใช้อำนาจบังคับคน มองข้างหน้าเห็นแต่วิบัติเศรษฐกิจ
อันที่จริง เรามีคนที่อยากไล่ประยุทธ์มากมายหลายล้าน ที่พร้อมจะออกไปม็อบก็มีมากมายหลายแสน แต่ถูกมึนชาด้วยความคิดที่ว่า สู้ไปก็เท่านั้น ทำอะไรไม่ได้ เขามีทั่้งตำรวจทหารศาลองค์กรอิสระ มีแต่จะถูกจับถูกปราบ แบบที่เสื้อแดงโดนมาแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก พอคิดอย่างนี้ก็ตัดมือตัดตีนตัวเอง แล้วมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้จริงๆ
แต่ #เยาวชนปลดแอก ได้จุดประกายขึ้นมาใหม่ ด้วยความกล้าหาญ ยอมเอาตัวเข้าเสี่ยง พิสูจน์ว่าถ้าประชาชนออกมากันมากๆ ก็ส่งผลสะเทือนได้ แม้ครั้งนี้เป็นแค่ชิมลาง แต่ก็สร้างความคึกคัก ทำให้คนที่ไม่ได้ไปร่วมรู้สึกเสียดายว่าน่าจะไป (นี่ถ้าไม่ติดธุระและไม่ติดว่าหน้าตัวเองแปะโลโก Voice ดูคลิปตอนเย็นเห็นคนเยอะขนาดนั้น ผมคงขึ้นแท็กซี่่ไปแล้ว)
ถ้าสถานการณ์สุกงอมกว่านี้อีกหน่อย นักศึกษาประกาศชุมนุมยืดเยื้อ วันพรุ่งนี้มะรืนนี้ พวกที่กดไลค์กดแชร์อยู่บ้านก็จะเริ่มรู้สึกเป็นหน้าที่ต้องออกไปเองแล้วนี่หว่า
การชุมนุมเป็นอาวุธที่ทรงพลังของประชาชนอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลและอำนาจหนุนหลังเสื่อมหนัก ถ้าประชาชนไปกันมากๆ ทหารทั้งกองทัพก็ทำอะไรไม่ได้ นี่ไม่ใช่ยุคสมัยที่มันจะสามารถปิดกั้นสื่อปลุกความเกลียดชัง "ผังล้มเจ้า" ได้เหมือนปี 53 แม้อำนาจยังเป็นปึกแผ่น แต่มันก็สั่นสะเทือน และจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
Atukkit Sawangsuk
(https://www.facebook.com/baitongpost/posts/3217124615036012)