วันพุธ, กรกฎาคม 29, 2563
#เจาะกลยุทธ์ การฟอกขาวให้นายบอส - Dr. Pete Peerapat
#เจาะกลยุทธ์ #ทีมกฎหมายบอสกระทิงแดง
ยิ่งตามข่าวบอสกระทิงแดง ยิ่งเห็นถึงการวางแผนคดีนี้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนในการที่จะฟอกขาวให้นายบอส
มาลองดูกันว่าเขาใช้กลยุทธ์อะไรกันบ้างกว่าจะมาถึงจุดนี้
[ไม่ได้ต้องการบอกว่าสิ่งที่นายบอสและทีมกฎหมายทำถูกต้องนะครับ แต่ผมอยากแฉให้เห็นถึงการเตรียมการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน]
....
หนีเข้าบ้าน ไม่ให้ตำรวจจับในที่เกิดเหตุ
เริ่มต้นจากตอนเกิดเหตุ ไม่รู้ด้วยความเมาเหล้าหรือเมายา นายบอสไม่ยอมให้จับในที่เกิดเหตุ หนีไปตั้งหลักที่บ้าน
และงานของฝ่ายกฎหมายของนายบอสน่าจะเริ่มตั้งแต่เวลานั้น
อันดับแรกเลย คือ ประวิงเวลาไม่ให้ตำรวจเข้าบ้าน โดยอ้างว่าไม่มีหมาย ทำให้กว่าตำรวจจะเข้ามาได้ก็บ่ายแล้ว
ตอนแรกคงกะว่าให้คนสวมรอยไปรับผิดแทน แต่ว่าเรื่องนี้ดันออกข่าวไปแล้ว แผนนี้จึงใช้ไม่ได้ผล
.
ไม่ยอมให้เป็นคดีเมาแล้วขับ
เป้าหมายต่อมา ทางทนายย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า คดีขับรถโดยประมาท ปกติถ้าเยียวยาญาติผู้เสียหายอย่างถึงขนาด ศาลมักก็จะรอลงอาญา
แต่ถ้าเป็นคดีเมาแล้วขับ เป็นเรื่องไม่แน่ไม่นอน ศาลอาจจะไม่ลดโทษให้ถึงขั้นรอลงอาญาก็ได้
เห็นได้จากคดีปกติ เขาอาจจะเยียวยาผู้เสียหายกันหลักไม่กี่ล้านบาท แต่เสี่ยเบนซ์ที่เมาแล้วขับ เขาเยียวยาโดยศาลไม่ต้องสั่งเลย 45 ล้านบาท แถมทำรับปากว่าจะส่งเสียเลี้ยงดูลูกผู้เสียชีวิตเป็นอย่างดี สุดท้ายศาลจึงลดโทษให้เหลือเพียงแค่รอลงอาญา
ส่วนคดีนี้ทั้งเมาเหล้า (และอาจจะเมายาตามผลตรวจที่พึ่งแฉกันออกมา) แถมยังหนีเข้าบ้านอีก
ทางทีมทนายคงประเมินแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ โอกาสที่ศาลจะให้รอลงอาญาคงยาก
ดังนั้น ต้องพยายามตัดข้อหาเมาแล้วขับออกไปให้ได้ก่อน
สุดท้ายก็ใช้วิธีประวิงเวลากว่าจะได้ตรวจแอลกอฮอล์ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ทำให้ผลการตรวจมีความน่าเชื่อถือต่ำ ทำให้นายบอสอ้างได้ว่าว่า เครียด เลยกลับมากินเหล้า เลยเป็นที่มาของขำว่า #เมาหลังขับ ไม่ใช่เมาแล้วขับนั่นเอง
.
ไม่ยอมรับว่าตนเองประมาท
ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องประวิงเวลาเพื่อให้คดีขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดขาดอายุความ
พึ่งมาถึงบางอ้อตอนที่อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต
ความโหดของเรื่องนี้ เริ่มจากการตั้งข้อหาตำรวจที่ถูกชนเสียชีวิตว่าประมาทด้วย
ในสำนวนจึงปรากฎว่านายบอสเป็นผู้ต้องหาที่ 1 ส่วนนายดาบเป็นผู้ต้องหาที่ 2
เคสนี้นายบอสจะถูกศาลพิจารณาว่าเป็นประมาทได้มี 2 ปัจจัยหลัก ๆ
1) เมาแล้วขับ (ไม่ว่าจะเมาเหล้าหรือเมายาก็ตาม)
2) ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด
ช่วงแรก เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานมีการตรวจสอบและให้ความเห็นว่านายบอสขับรถเร็วประมาณ 177 km/hr บวกลบ 17 km/hr
แปลว่าไม่ว่าจะบวกหรือลบยังไง ความเร็วที่ขับมาเกินกว่า 80 km/hr อันเป็นความเร็วตามอัตราที่กฎหมายกำหนดในเขต กทม.
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นายบอสและทีมทนายประวิงเวลาให้คดีขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดขาดอายุความไป
เพราะในสำนวนจะได้ไม่มีการยืนยันว่านายบอสขับรถเร็ว 177 km/hr เพื่อไม่ให้เป็นหลักฐานมัดตัวว่านายบอสประมาทแน่ ๆ เนื่องจากขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด
ในส่วนคดีเมาแล้วขับ ก็ทำให้สั่งอัยการสั่งไม่ฟ้องได้แล้ว เพราะ ไม่มีการตรวจว่าเมาก่อนหรือหลังขับ
ซึ่งที่ทีมกฎหมายของนายบอสต้องการต่อมา คือทำยังไงก็ได้ให้ความเร็วรถของนายบอสต่ำกว่า 80 km/hr
.
ทำให้ความเร็วของรถลดลงเหลือต่ำกว่า 80 km/hr
จากเดิมที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานให้ความเห็นว่ารถน่าจะขับเร็วประมาณ 177 km/hr
ทีมทนายของนายบอสใช้กลยุทธ์หาพยานผู้เชี่ยวชาญและประจักษ์พยานมาหักล้างความเร็วนี้
การที่จะทำให้ข้อมูลใหม่นี้เพิ่มเข้าไปในสำนวนได้ ก็จะต้องใช้การร้องขอความเป็นธรรมทั้งที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส) และ กรรมาธิการกฎหมาย ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช)
ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จ เราจึงเห็นพยานผู้เชี่ยวชาญโผล่มาใหม่อีก 2 คน เป็นตำรวจท่านนึง และเป็นถึงระดับศาตราจารย์อีกท่าน ซึ่งทั้งสองท่านก็ให้ความเห็นว่านายบอสน่าจะขับรถเร็วเพียง 76 หรือ 79 km/hr เท่านั้น (ไม่รู้ว่าใช้ทฤษฎีไหน)
รวมทั้งยังมีประจักษ์พยานใหม่อีก 2 คนโผล่มา แถมคนนึงเป็นนายทหารยศสูงด้วย ออกมาให้ปากคำว่านายบอสขับรถไม่เร็ว เพราะเขาขับอยู่เลนข้าง ๆ เลยเห็นเหตุการณ์
แต่ไม่ว่าจะเป็น 76 หรือ 79 ก็ล้วนต่ำกว่า 80 km/hr ซึ่งจุดนี้ ก็จะทำให้นายบอสไม่ได้ขับรถเร็วอันเป็นการประมาทได้แล้ว
.
เบรกไม่ทันเพราะโดนปาดหน้า
ความจริงแล้วประจักษ์พยาน 2 คนที่โผล่มา 7 ปีหลังจากเกิดเหตุ ไม่ได้มีความสำคัญในเรื่องข้อมูลความเร็วเลย
เพราะเขาใช้พยานผู้เชี่ยวชาญอีก 2 คนหักล้างไปแล้ว
แต่พยาน 2 คนนี้มีความสำคัญในการให้ข้อมูลว่า
ดาบตำรวจเป็นคนขับปาดหน้ารถนายบอส ไม่ใช่นายบอสพุ่งชนนายดาบ
ลองดูในสำนวนที่อัยการอ้างถึงพยาน 2 คนนี้ได้ครับ มีการบรรยายเป็นฉาก ๆ ว่าดาบตำรวจตอนแรกขับอยู่เลนที่ 1 แล้วปาดไปเลนที่ 3 ที่นายบอสขับมากระทันหัน
ซึ่งพยานเองก็อยู่เลนที่ 2 ยังต้องหักหัวหลบเลย
ดังนั้น การที่นายบอสเบรกไม่ทันย่อมเป็นเหตุสุดวิสัย ขับมาเร็วตามที่กฎหมายกำหนด แต่โดนนายดาบปาดหน้า เป็นใครก็ย่อมเบรกไม่ทันจริงไหมครับ
.
ร้องขอความเป็นธรรมเพื่อประวิงเวลาและเพิ่มพยานหลักฐานใหม่
การร้องขอความเป็นธรรมเป็นสิทธิที่ผู้ต้องหาทำได้ หากคิดว่าโดนกลั่นแกล้งหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม
แต่ในคดีนี้ มีการร้องขอความเป็นธรรมหลายรอบมาก มีการสอบเพิ่มเติมแล้ว ก็ยังมาร้องใหม่
ขนาด อสส. มีคำสั่งให้ยุติการรับเรื่องการร้องขอความเป็นธรรม
ก็ยังหาช่องไปร้องที่กรรมาธิการกฎหมายของ สนช. ได้อีก จน อสส. ต้องยอมกลับมาให้สอบสวนเพิ่ม
แปลว่า การร้องขอความเป็นธรรมนี้ได้ผลทั้งในส่วนที่ทำให้บางข้อหาขาดอายุความไป และก็ยังเอาพยานหลักฐานใหม่มาเพิ่มได้อีก
===================================
สิ่งที่เล่าไปทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง หรืออยู่ในวิสัยของทนายที่มีจรรยาบรรณพึงจะกระทำได้เลยนะครับ
เพราะ สิ่งที่ทนายทำได้ คือ การใช้ข้อกฎหมายช่วยต่อสู้ให้ลูกความได้รับความเป็นธรรมเท่านั้น
แต่การช่วยประวิงเวลา หรือ ทำพยานหลักฐานเท็จ หรือ ขัดขวางกระบวนการยุติธรรมล้วนแต่เป็นเรื่องที่ผิดจรรยาบรรณและผิดกฎหมายทั้งสิ้น
ผมเชื่อว่าคดีนี้ตอนนี้กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมแล้ว อสส. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช) ต้องแสดงความโปร่งใสออกมาเปิดเผยและชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริงทั้งหมดให้สังคมรับรู้รับทราบในประเด็นดังต่อไปนี้ครับ
1) ผลการตรวจว่ามีสารเสพติดในร่างกาย ทำไมถึงไม่มีในสำนวน
2) วิธีการสันนิษฐานเรื่องความเร็วของพยานผู้เชี่ยวชาญใหม่ ใช้วิธีไหน ทำไมถึงน่าเชื่อถือกว่าของกองพิสูจน์หลักฐานที่บอกว่าขับเร็ว 177 km/hr
3) ประจักษ์พยาน 2 คนที่โผล่มาใหม่เป็นใคร มีความเกี่ยวข้องอะไรกับฝั่งนายบอสหรือไม่ แล้วทำไมพึ่งโผล่มาให้ปากคำหลังจากผ่านไปแล้ว 7 ปี
ผมเชื่อว่าถ้าตำรวจและอัยการเอาจริง มีจิตใจที่รักความบริสุทธิ์ยุติธรรมจริง ความจริงเรื่องนี้ต้องถูกเปิดเผยออกมาแน่นอน เพราะเราก็เห็นอยู่แล้วว่าพยานหลักฐานที่โผล่มาตอนหลังมีจุดอ่อนและข้อพิรุธมากมาย ทำไมตำรวจและอัยการที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มานานจะดูไม่ออก จริงไหมครับ
...