วันนี้ ตอนสายๆ ดิชั้นได้มีโอกาสคุยกับคุณทิวากรทางโทรศัพท์ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก่อนอื่นต้องแจ้งว่า ตลอดเวลาที่คุยกันนั้น คุณทิวากรมีสติสัมปชัญญะที่ดีเยี่ยม การแสดงความเห็นเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา เข้าเรื่องเลยค่ะ คุณทิวากรเล่าว่า เหตุการณ์เกิดวันที่ 9 ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่มาพบสองชุด ชุดเล็กกับชุดใหญ่ ชุดแรกมาไม่กี่คน มาสอบถามพูดคุย เป็นคนมาจาก กอ รมน ส่วนชุดที่สอง สั่งตรงมาจากผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น รอบสองนี้มากัน 10 กว่าคน แม้คุณทิวากรจะบอกว่าตัวเองไม่ได้บ้า แต่ทางคุณแม่และคุณพ่อสนับสนุนให้ทางการส่งลูกชายไปที่สถานจิตเวช แต่คุณทิวากรปฏิเสธ เลยมีการ “อุ้ม” ขึ้นรถตู้โดยมีผู้ชายประมาณ 5 คนได้ที่มา “อุ้ม” คุณทิวากร สาเหตุที่ต้อง “อุ้ม” เพราะคุณทิวากรต้องการแสดงสัญลักษณ์ว่า เค้าไม่ยินยอมที่จะไป
…ทำไมต้องเป็นสถานจิตเวช เมื่อปี 2559 คุณทิวากรเคยถูกส่งไปดูอาการที่สถานจิตเวช เกิดมาจากการชอบเก็บตัว และหมกหมุ่นกับการเมือง คุณแม่เห็นท่าไม่ดี เลยส่งไปตรวจ แต่เมื่อไปตรวจ คุณหมอก็ไม่พอว่าเป็นบ้า และแม้จะขอให้กลับมาเช็คเรื่อยๆ คุณทิวากรก็ไม่กลับไปอีก เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ได้บ้า ที่ต้องเล่าตรงนี้ เพราะมันอธิบายว่าทำไมคุณทิวากรถึงถูกส่งไปสถานจิตเวช โดยเรื่องนี้ คุณแม่เป็นคนขอให้เค้ามาพาตัวลูกชายไปโรงพยาบาล คือถ้าพ่อแม่ไม่ยอมให้ไป เค้าก็พาคุณทิวากรไปไม่ได้ สรุปคือ พ่อแม่เป็นคนอนุญาตเอง (แม้ว่าคุณทิวากรจะบรรลุนิติภาวะแล้ว) และนี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงเห็นสัมภาษณ์ของคุณแม่ว่าตัวเองยินยอมให้ทางการอุ้มลูกไปสถานจิตเวช
…เมื่อถูกอุ้มขึ้นรถตู้ทั้งๆ คุณทิวากรขัดขืน เจ้าหน้าที่ได้ฉีดยา 2 เข็ม ทางแขนด้านซ้ายและขวา ผลปรากฏคือมันทำให้กล้ามเนื้อชาและอ่อนเพลีย ทำให้ดิ้นรนต่อสู้ไม่ได้ คุณทิวากรเล่าว่า กว่าจะผ่านคืนนั้นไปได้ ทรมานมาก ตลอดเวลาที่อยู่ในสถานจิตเวช คุณทิวากรได้รับการดูแลอย่างดี เพราะป็นคนไข้เก่า และรู้จักคุณหมอ คุณทิวากรเล่าว่า คุณหมอกล่าวขอโทษอย่างน้อย 3 ครั้ง ถึงสิ่งที่ต้องทำกับคุณทิวากร และก็รู้ว่าคุณทิวากรไม่ได้บ้า แต่การอยู่ในสถานจิตเวชอาจจะดีกว่าในช่วงนั้น เพราะคุณแม่เองก็เชื่อว่า “บอกว่าลูกเป็นบ้า ดีกว่าไม่บ้า เพราะกลัวลูกถูกพวกคลั่งเจ้าทำร้าย” ระหว่างที่อยู่ในนั้น คุณทิวากรได้ให้การศึกษาด้านการเมืองแก่หมอและพยาบาล อธิบายว่าทำไมตนถึงหมดศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์
…ระหว่างอยู่ที่นั่น มีคนของเจ้าหน้าที่รัฐมาเฝ้าเพื่อไม่ให้คุณทิวากรออกมาจากโรงพยาบาล ไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอก และยึดโทรศัพท์มือถือ การใช้ชีวิตทั่วไปดีพอควรเหมือนผู้ป่วยทั่วไป ตลอดเวลาที่อยู่ คุณหมอให้ยา 2 ประเภทแก่คุณทิวากร เม็ดแรกเป็นยากระตุ้นสารสื่อสมอง (เป็นศัพท์ของคุณทิวากร) และอีกเม็ดเป็นยานอนหลับ ทานทุกคืนประมาณ 10 คืนแรก จนมาหยุดยากระตุ้นประมาณ 5 วันก่อนออกจากโรงพยาบาล แต่ยังกินยานอนหลับอยู่ตลอดและไม่หยุดจนปัจจุบัน ตอนนี้ ยังเหลือยานอนหลับที่หมอให้มาอีก 15 เม็ด
….เมื่อวาน ทางโรงพยาบาลบอกจะปล่อยตัวกลับบ้าน ในที่สุดก็ปล่อยมาตอนค่ำ คงไม่อยากให้เป็นข่าวเอิกเกริก ดิชั้นถามถึงสาเหตุการปล่อย ทั้งๆ ที่มีข่าวว่า ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวออกมา คุณทิวากรเชื่อว่า การขังเค้าไว้ในสถานจิตเวชมีส่วนเป็นเชื้อไฟจุดให้นักศึกษาออกมามากขึ้น โดยเฉพาะการประท้วงในประเด็นหมดศรัทธา การปล่อยคุณทิวากรน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการลดการต้านจากนักศึกษา แต่ต่อนี้ไป ตนเองยังมีเรื่องคิดอีกมาก ทั้งชีวิตเป็นอยู่ หน้าที่การงาน และความปลอดภัย แต่ถามว่าเค้ายังหมดศรัทธาอยู่ไหม เค้าบอกเค้าหมดศรัทธาแล้ว แต่ไม่ได้ล้มเจ้า ไม่ต้องการผลักอะไรไปมากกว่านี้ มันเหมือนเป็นความรู้สึกตายด้านที่ตนเองมีต่อสถาบันกษัตริย์
….เราจบบทสนทนาด้วยมู๊ดเศร้าๆ แบบนี้ค่ะ
บันทึกโดยปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ 23 กค 2020
Pavin Chachavalpongpun
(https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/2707366106031802)
ooo