อย่าว่าแต่นักวิชาการที่อยู่ใกล้ศูนย์กลางจักรวาล
(ของสลิ่ม) บอกว่า ‘งง’ เราเองก็งงเหมือนกัน
กับการ #วิ่งกันนะแฮมทาโร่ ของบรรดานักประชาธิปไตยตัวจริง ‘เจ็นเนอเรชั่นซี’ (แซด) ก็ได้กระจ่างขึ้นมาบ้างจากโพสต์ของ
Frank Thomya ว่า ‘แฮม’ มาอย่างไร
และด้วยบริบททั้งหมดของการวิ่งรอบ ‘สวนวนรถหน้าสตรีวิทย์’ (ของ คสช.) ทั้งพลังกระตือรือล้นและเพลง ‘เวอร์ชั่นยุบสภา’
นี่เป็นอะไรใหม่มากสำหรับการขับไล่เผด็จการทหารไทยในคราบ ‘ลุง’ ที่มีทั้งความครื้นเครงในอารมณ์และหนักแน่นในปณิธาน
ชนิดที่คำวิพากษ์กากๆ ประวัติศาสตร์ของหมอ ‘Porn drifts’ โรจนสุนันท์ และข้ออ้างมั่วซั่ว “พี่เคยเจอมาก่อนแล้ว”
ของนักการเมืองผู้เวียนว่ายอยู่แต่กับ ‘ปลอกคอ’ อย่าง ‘แรมโบ้’ อัตถาวงศ์
เป็นเพียงเสลดถ่มริมทางซึ่งนักประชาธิปไตยวัยมิลเล็นเนี่ยลเห็นแล้วขยะแขยง
“วัยอย่างเราได้ยิน ‘วิ่งแฮมทาโร่’ ก้องงๆ” ขอนำเอาคอมเม้นต์ของ สุรพศ ทวีศักดิ์ (น่าจะรุ่นบูมเมอร์) มายืนยัน “พอไปสังเกตการณ์ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาครึกครื้นจริงๆ
ไม่เครียด บรรยากาศผ่อนคลาย สบายๆ แต่ก็แสดงความรู้สึกต่อต้านเผด็จการอย่างจริงจัง”
แล้วอย่างนี้ กอ.รมน.
และตำรวจนอกเครื่องแบบ ยังจะพยายามยัดเยียดข้อหา ‘หมิ่นสถาบันฯ’
ให้กับพวกเขาอีกหรือ ดังที่ ทนายนิทัศน์ ระบุเป็น “เกมส์โหดเพื่อหาทางเล่นงานนศ กำลังเดินหน้าเต็มสูบ เมืองไทยนี้น่ากลัวจริงๆ”
เขาเอาภาพแชร์ชิ้นหนึ่งมายืนยัน มือถือผ่นกระดาษข้อความ
“อยากมีประธานาธิบดี” โดยบอกว่า “คนนี้แอบเข้าไปในกลุ่ม นศ. ไปหลายคนแล้วแอบไปนั่งในมุมที่คนอื่นมองไม่เห็นและให้พวกถ่ายรูปเอามาลง”
เพื่อให้ร้ายว่า ‘ล้มเจ้า’
อีกราย ชายสวมหน้ากากอนามัยยกป้าย “ล้มล้างระบอบกษัตริย์
สนับสนุนให้มีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ” ภาพนี้ถูก ส.ส.พรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว
ใช้เป็นหลักฐาน ประจานรัฐบาลให้หยุดใช้ ‘วิชามาร’
ใส่ร้ายขบวนการนักเรียน-นักศึกษาได้แล้ว
ถึงแม้จะมีข้อความหมิ่นเหม่ให้สันดานสลิ่มและเผด็จการเอาไปตีความหาเรื่องได้
แต่เด็กเหล่านี้มีทั้งวุฒิภาวะเปี่ยมล้นของผู้ที่จะใช้สิทธิเลือกตั้ง มีความรอบรู้ทางประวัติศาสตร์และวิชาการ
มากกว่าพรทิพย์และสุพรอย่างแน่นอน
ข้อความบนแผ่นป้ายชนิดที่สาธิต ซาไก (อุ๊ย
ขออภัย ‘เซกัล’) คาบไปฟ้อง
ผบ.ทบ.นั้นบางอันเป็นจิตสำนึกอย่างคนรุ่นใหม่ซึ่งคนรุ่นสาธิต ‘ไม่เข้าใจ’ แต่จับเอาไปกระเดียด มันเป็นความลึกล้ำทางสติปัญญาที่พวกสืบทอดอำนาจรัฐประหารคิดไม่ถึง
ดังเช่นข้อความ “จงทุบมงกุฏให้แตกสลาย
แล้วโปรยเศษซากแจกจ่ายแก่ประชาชน...” ก็มาจากถ้อยปรัชญาทางการเมืองของ ธอมัส เพน
หรือ “เอวลอย ไปอยู่ที่ไหน เคยรู้บ้างไหม โปรดคิดคำนึงถึงเอวลอยยยยย”
ก็เอาเนื้อเพลงของวง ‘คาราบาว’ มาเล่น
เช่นกันกับเพลง ‘แฮมทาโร่’ อันสนุกสนานก็ถูกดัดแปลงเนื้อร้องมาใช้เพื่อการประท้วงอย่างคล้องจอง
“ได้เวลาวิ่ง กลิ้งนะกลิ้งนะแฮมทาโร่ สนุกจริงๆ ที่กลิ้งไปกับแฮมทาโร่ ของอร่อยที่สุดก็คือ
ภาษีประชาชน (ยุบสภา!)” เนื้อร้องท่อนหนึ่ง
รายงานข่าวหลายแหล่งบอกว่าจำนวนผู้ไปร่วมวิ่งแฮมทาโร่ครั้งนี้นับพันคน
“๑๗.๒๕ น. มวลชนเริ่มวิ่งบนทางเท้า
โดยวนเป็นวงกลมอย่างสนุกสนาน จากฝั่ง ร.ร.สตรีวิทยา
วนตามเข็มนาฬิกามุ่งหน้าไปทางแยกคอกวัว ก่อนจะวนกลับมาจุดเดิม” วิ่งไปร้องเพลงไป ๓
รอบ
ป้ายข้อความต่างๆ ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์
ขอความร่วมมือ (เตือน) ไม่ให้มีเนื้อถ้อยสุ่มเสี่ยง จึงเห็นแต่อย่างเบาะๆ เช่น “เบื่อเมล็ดทานตะวันอยากได้ประชาธิปไตย
Their favorite dish is our TAX!! และ เป็นทหารทำไมต้องยุ่งการเมือง”
เป็นอาทิ
“กิจกรรมเป็นไปอย่างเรียบร้อย
โดยใช้เวลาประมาณ ๔๐ นาที ก่อนจะเสร็จสิ้นกิจกรรมในเวลาประมาณ ๑๘.๑๐ น.” อย่างนี้แล้วตำรวจยังจะตามรังควาญเหมือนที่ทำกับนักเรียน-นักศึกษาในที่ชุมนุมอื่นๆ
เกือบจะรายวันทั่วประเทศ
คงต้องยกระดับจากมิติแห่งความสนุกสนานแบบ ‘แฮมทาโร่’ หรือ ‘ตุ้งติ้ง
ไม่มุ้งมิ้ง’ ของกลุ่มเพศสภาพก่อนหน้านี้
ให้เป็นประสบการณ์แบบที่ ‘แรมโบ้’ เคยเจอเสียละมัง
นั่นคือเวลานี้ยังเป็นพลังบริสุทธิ์ของนักเรียนนักศึกษา
วันหน้าประชาชนทั่วไปกระโจนลงไปร่วม
จากโพสต์ของสหภาพนักเรียนนักศึกษา
ที่ว่าตำรวจคุกคามถึงคอนโดที่พัก อ้างว่าตามหาคนถือป้าย ‘หมิ่นฯ’ นั่น ถ้าข้อความ ‘หมิ่นฯ’ ชัดเจนก็ของ กอ.รมน.และฝ่ายความมั่นคง แต่ถ้า ‘sophisticated’ เฉลียวฉลาดเสียจนพอร์นดริ๊ฟกับแรมโบ้ตามไม่ทันละก็
ถือว่าเหมาะสมดีแล้วตามครรลองประชาธิปไตย