วันพุธ, พฤษภาคม 13, 2563

ตะหานโหมสุดกู่ 'เอาผิด' ให้ได้ ฉายเลเซอร์ความจริง พฤษภา ๕๓ แต่ว่า 'เบนเป้า' แจกเพิ่มกรรมการยุทธศาสตร์และปฏิรูป หรือเปล่านะ


พูดภาษาฟุตบอลอเมริกัน ตอนนี้คณะตะหานและตำหวดกำลัง ‘fumbling’ ล้มลุกคลุกคลานหาทาง เอาผิดกับการที่มีมือดีฉายแสงเลเซอร์ข้อความจริงว่าใครแน่ที่ ก่อการร้าย ฆ่าประชาชน ใครกัน เผาบ้านเผาเมืองใครเล่า ตอแหล เมื่อปี ๕๓

พล.ต.ต.เมธี รักพันธุ์ ผบก.น.๖ ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ สน.พระราชวัง, สำราญราษฎร์ และปทุมวัน พยายามทำ ‘damages control’ ลดระดับความเสียหายที่คณะทหารถูกเปิดโปงความจริงจากเหตุการณ์ ฆ่าประชาชน พฤษภา ๓๕ และ ๕๓

“สั่งการให้ออกตรวจตรา หากมีเหตุเกิดขึ้นอีกให้นำตัวผู้ก่อเหตุมาซักถาม แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่ากระทำดังกล่าวมีความผิดหรือไม่อย่างไร” ส่วน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตำแหน่งใหญ่กว่า ย่อมปากกร้าวกว่า

“ฝากไปยังกลุ่มผู้ก่อเหตุว่า อย่าทำอะไรที่สร้างความขัดแย้งให้คนในชาติ ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดใดบ้าง” แต่หนึ่งในผู้ก่อการที่ชี้ให้เห็นเหตุ พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ดักทางไว้แล้วว่า

“หากต้องการจะที่จะดำเนินคดีทางกฎหมายก็มาเอาผิดที่คณะ หากหาข้อหาเอาผิดได้” เพราะสิ่งที่พวกเขาทำไป “ไม่มีที่ไหนได้รับความเสียหาย เพราะแสงไม่ได้ทำอันตรายแก่พื้นผิว อีกทั้งไม่ได้สร้างความเดือดร้อนรำคาญ เพราะไม่ได้ส่องใส่หน้าต่างบ้านใคร

ไม่มีเสียงรบกวน และไม่ได้ทำให้รถติดเพราะเป็นช่วงกลางคืนแล้ว ถ้าการกระทำในนามของความจริงไปกระทบต่อจิตใจของเขา (ผู้มีอำนาจ) บ้าง ก็ต้องให้เป็นไปตามนั้น เพราะ ๑๐ ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ก็กระทบจิตใจญาติของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บไปตั้งเท่าไร”

ช่อแจงด้วยว่า “นี่จะเป็นการคืนความยุติธรรมให้กับคนที่สูญเสีย นำตัวผู้กระทำความผิดมาสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งสิ่งนี้จะนำไปสู่ความสมานฉันท์ของคนในสังคมได้” นั่นไม่เพียงประกาศความจริงให้คนที่อายุไม่ถึงยี่สิบได้ทราบ

ยังมี “คนแชร์ประสบการณ์ต่างๆ มากมาย มีคนแชร์คลิปเก่าๆ” แสดงให้เห็นว่าประชากรไทย ความจำไม่สั้นความจริงอยู่ตรงนั้นไม่ได้ไปไหน “ไม่มีอะไรที่จะต้องดิสเครดิตรัฐบาล สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือยอมรับความจริง” ไม่เช่นนั้นจะต้อง ฆ่าปิดปากประชาชนอีกไม่รู้จบสิ้น

ต้องชมความรอบคอบของพรรณิการ์ (อาจเพราะเจอะเจอ วิชามาร ของคณะทหารมาเยอะ) ที่ไม่วายทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ทำนั้นทั่วโลกเขาทำกันเกร่อแม้ในทางการเมือง “โดยไม่ได้เป็นการเจาะจงหรือตั้งใจเชื่อมโยงกับการฉายข้อความในประเทศเยอรมนีแต่อย่างใด”


แต่จะเอาความเที่ยงธรรมหรือคำสัตย์กับคณะทหารชุดนี้ไม่ได้ ทักษะในเชิงเล่ห์เหลี่ยมและเล่นลิ้นเยอะกว่าการบริหารงานสาธารณะหลายร้อยเท่า ข้อหาเคยโยงใยกับ @PixelHELPER ในเยอรมนีเกิดขึ้นได้ ขนาด ผังล้มเจ้าโกหกหน้าด้านๆ ยังทำมาแล้ว

อีกอย่าง พวกเขาต้องโหมเรื่องนี้สุดกู่เพื่อเบี่ยงเบน เป้า ทัวร์ลงไปจากกิจกรรม กินบนหลังประชาชน อันเป็นนิจสิน หลังจากสำนักข่าวอิศราที่น่าจะเป็นคนกันเอง ดันเปิดความจริงอีกเรื่องสดๆ ร้อนๆ ว่า ครม.ของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
“เพิ่มค่าตอบแทนของคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ ขึ้นจากเดิมร้อยละ ๒๐” อันนี้เอาคำของ ไอลอว์ มาใช้โคว้ต เพราะอิศราเขียนแบบเลียบค่าย วกไปวนมา เวิ่นเว้อ (รักจะเกาะความจริงแต่กล้าๆ กลัวๆ)

ซึ่งก็คือเพิ่มบำเหน็ดแก่คณะบุคคลากรที่ คสช.ตั้งไปทำหน้าที่เขียนฉากสร้างความชอบธรรมให้แก่การ สืบทอดอำนาจ นอกจากเพิ่มตังค์ให้แล้วยังปักหมุดให้ติดหมัดแม่นมั่น เป็น เงินเดือนประจำตราบจนจบชีวิตหรือยกเลิกองค์กร

คณะกรรมการยุทธศาสตร์นั้นมีไม่น้อยกว่า ๓๕ คน ตั้งแต่นายกฯ ลงไปถึงผู้ทรงคุณวุฒิ ส่วนกรรมการปฏิรูปเบาะๆ เข้าไป ๑๒๐ คน แต่เดิมจะได้ค่าตอบแทนต่อคนครั้งละตั้งแต่ ๑๒,๐๐๐ บาทไล่เรียลงไปถึง ๙๐๐ บาท (ถ้าเป็นแค่ผู้ช่วยเลขาณุการ)

แต่นี้ต่อไปได้เพิ่มอีก ๒๐% โดยไม่ต้องนับจำนวนครั้งที่เข้าประชุม แต่เหมารวมเอาเป็นเดือน อ้างว่าที่ผ่านมางานเยอะ ต้องประชุมมากกว่าเดือนละ ๒ ครั้ง ซึ่งต้องคอยจ้องว่าจำนวนเฉลี่ยของการประชุมต่อเดือนจะออกมาเท่าไร

เดาเอาว่า โอเค คำนวณค่าเฉลี่ย ๕ ครั้งต่อเดือน ระดับเบี้ยเลี้ยงหมื่นสองจะได้เพิ่มเป็นเดือนละ ๑๒,๐๐๐ x= ๖๐,๐๐๐ บาท คูณ ๒๐ เปอร์เซ็นต์เท่ากับล้านสอง ส่วนระดับกรรมการซึ่งเดิม ๙ พันต่อครั้ง เงินที่ได้รับใหม่ต่อเดือนเพิ่มเป็น ๙,๐๐๐ x= ๔๕,๐๐๐ บาท x ๒๐ = ๙๐๐,๐๐๐

ใครคล่องคณิตศาสตร์ช่วยคิดตัวเลขโดยรวมทั้งสิ้น รายจ่ายพิเศษของรัฐให้กับผู้วิเศษแห่งชาติไม่รู้กี่ร้อยหรือพันเหล่านี้ดูแล้วกัน ว่ามันจะออกมาเดือนละกี่สิบกี่ร้อยล้าน ตัวเลขมันมากและซับซ้อนเสียจนผู้เขียน งงตื้อไปหมด