วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 02, 2563

'โรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น’ จีนเจอ ‘ไข้หวัดนก’ อีกอย่าง โพลไทยยัน ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน "ไร้จิตสำนึก" ต้องลาออก

ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็นสถานการณ์รัฐบาลสืบทอดอำนาจ คสช.ขณะนี้ เริ่มตั้งแต่กรณีเร่งด่วน #ไวรัสโคโรน่า ที่จนป่านนี้ชาวไทยในอู๋ฮั่นยังไม่ได้กลับบ้าน แม้นว่าจะได้สายการบินแอร์เอเซียจัดเครื่องบินไปรับ ๑ ลำโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

เมื่อวาน (๑ กุมภา) สาธารณสุขให้รายละเอียดทั่วไปเกี่ยวกับความเสี่ยงในไทย “ตราบใดที่มีคนเดินทางจากจีนเข้ามา คนไทยก็มีโอกาสเสี่ยง...ทำเต็มที่สุด คือป้องกันตัวเอง” ใครที่ทำงานใช้ชีวิตประจำวันใกล้เคียงเกี่ยวข้องกับคนจีน ต้องระวังตัวมากหน่อย “สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ”

เพราะรัฐบาลไทยยังปล่อยให้นักท่องเที่ยวจีนไหลเข้าไทยไม่หยุด สวนกระแสของนานาชาติ ที่เวลานี้ห้ามทัวร์จีนกันแล้ว “เช้าวันนี้มีทั้งเที่ยวบินจากปักกิ่ง, เจิ้งโจว, กวางโจว, ซัวเถา, ฉงชิ่ง และคุณหมิง ล้วนเมืองที่พบผู้ติดเชื้อทั้งนั้น ส่วนใหญ่มุ่งหน้าสู่กรุงเทพ, กระบี่ภูเก็ต, เชียงใหม่” (@Pink_Siripipat)

หนักเข้าไปอีกในขณะนี้ปรากฏในจีนมีการระบาดของ ไข้หวัดนกH5N1 กลับมาอีกที่มณฑลฮูนาน อันเป็นพื้นที่ติดกับมณฑลหูเป่ยศูนย์กลางไวรัสโคโรน่า ซึ่งสาธารณสุขแถลงว่า “แพร่ระบาดได้เร็วกว่าเมอร์สและซาร์ส” สองไวรัสร้ายคร่าชีวิตคนจีนมากมายในอดีต


และที่น่าสำเหนียกฟังไว้อย่างยิ่งจากโพสต์ของผู้ใช้นาม ‘Wu Chai’ เอ่ยถึงกรณีเกิดในเยอรมนีที่ว่า สาวเซี่ยงไฮ้ไปมิวนิคเมื่อ ๒๐-๒๑ มกรา กลับไปเมืองจีนแล้วจึงเจออาการโคโรน่า ส่วนหนุ่มเยอรมันที่คบกันเกิดไข้ขึ้นช่วง ๒๕-๒๗ มกรา

จึงทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า เชื้อสามารถผ่องถ่ายจากคนต่อคนได้ก่อนออกอาการ และแม้จะรักษาอาการไข้ไปแล้ว ยังตรวจเจอเชื้อไวรัสคงอยู่ในร่าง อันนี้แม้จะยังไม่มีการยืนยันทางการจากองค์กรสาธารณสุข แต่ก็เป็นข้อคิดประมาทมิได้

ตัวอย่างดังกล่าวเป็นความวิตกกังวลของประชาชน ที่รัฐบาลคณะนี้ไม่สามารถปัดสวะออกไปได้ ไม่ว่าจะตะโกนดังแค่ไหนว่า เอาอยู่มันไม่ใช่ความผิดของสื่อ หรือเฟคนิวส์แต่อย่างไร ความหวาดระแวงจะทำให้หายได้ด้วยความมั่นใจเท่านั้น

ไหนจะเพิ่งมีรายงานสดๆ ออกมาว่า ค่าฝุ่นละอองจิ๋ว พีเอ็ม ๒.๕ เมื่อเช้าวานนี้เอง ใน กทม.มีอัตราเกินมาตรฐานความปลอดภัยถึง ๓๔ เขต ข่าวมติชนระบุว่า เขต “ลาดกระบังหนักสุด ทะลุ ๗๒ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร”

ฉะนี้จึงไม่แปลกใจที่ โพลที่เคยเชียร์รัฐบาลชุดที่แล้ว เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ในชุดนี้แจ้งผลการสุ่มสำรวจตัวอย่าง “๓๖.๙๒% อยากให้เร่งแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 และไวรัสโคโรนา ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน”
 
สวนดุสิตโพลรายงานด้วยว่ารองลงมา ๓๐.๓๒% “อยากให้ปฏิรูปการเมืองไทยให้เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ เป็นประชาธิปไตย” ก็เลยไปพ้องจองกับอีกโพลที่มักสำรวจพบว่ารัฐบาลที่แล้วเช่นกัน ดีอย่างโน้นอย่างนี้ค่อนข้างบ่อย

คราวนี้ นิด้าโพลสุ่มถามเรื่อง ส.ส.เสียบบัตรโหวตผ่านงบประมาณแทนกัน ที่ไม่บังเอิญเป็น ส.ส.ทั้งของพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล “ส่วนใหญ่ร้อยละ ๘๐.๑๔ ระบุว่าเป็นการกระทำที่ไร้จิตสำนึก” ต้องการให้รับผิดชอบด้วยการลาออก

มิใย สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม นักการเมืองเก่าคนสำคัญที่ปฏิบัติการ ดูด อดีต ส.ส.พรรคต่างๆ มาเข้าพรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุนให้หัวหน้าคณะรัฐประหารกลับมาเป็นนายกฯ อีกได้สำเร็จ ทำเป็นออกมาบ่นเรื่องงบประมาณล่าช้า

“ผมเชื่อว่าทุกฝ่ายจะเห็นด้วย ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน เพราะมีปัญหาเดือดร้อนกันหมด เราต้องช่วยกันรับผิดชอบ” เขากล่าวอ้างว่าโครงการต่างๆ ก่อสร้าง ลงทุน ยังเบิกจ่ายไม่ได้เพราะงบประมาณติดกึกจากปัญหา ส.ส.รัฐบาลเสียบบัตรโหวตคนละหลายใบ


ทีอย่างนี้จะให้ “รับผิดชอบร่วมกัน” ทั้งที่มันเป็นความมักง่ายและไม่ยอมรับฟังเสียงของฝ่ายค้าน ดึงดันเอาเสียงข้างมากลากไป ทั้งที่เสียงข้างมากเหล่านั้นมาจากการโกง โดยวิธีเสียบบัตรออกเสียงแทนคนที่ไม่อยู่ในที่ประชุม

ฝ่ายค้านได้อภิปรายขอตัดวงเงินค่าใช้จ่ายหลายอย่างที่เห็นว่าไม่จำเป็น แต่รัฐบาลไม่ยอมฟัง ร้ายกว่านั้นตรงที่ฝ่ายค้านท้วงว่า เป็นการตั้งงบประมาณชนิดขาดดุลบานเบอะ แต่ไม่มีแหล่งที่มาของเงินที่จะมาใช้จ่ายนี้

รัฐบาลชุดนี้ใช้ ‘mentality’ ความสำนึกชั่วดีอย่างทหารที่เข้าสู่การบริหารประเทศด้วยการยึดอำนาจ เห็นว่าเงินในคลังมีอยู่ก็ดีแต่เบิกจ่าย ไม่รู้จักช่องทางหาเงินอื่นใดนอกจากเก็บภาษีโน่นนี่ยุบยับ ถอนขนห่าน ประชาชน

ในเมื่อ คสช.ได้จัดวางหนทางต่างๆ ทั้งโกงทั้งกดเพื่อที่จะครองอำนาจยาวนาน ผ่องถ่ายจากอำนาจรัฐประหารมาสู่ การเลือกตั้งด้วยกลยุทธ์ดูดและ แจกกล้วยเสริมด้วยกลไก สว.ตู่ตั้งรับประกันความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ได้เป็นรัฐบาลสมัยหน้าอีกหน

ประชาชนไม่มีทางอื่นที่จะทักท้วงและยับยั้งความไร้ประสิทธิภาพทางการบริหาร แต่แกร่งกร้าวในการใช้อำนาจปืนกดหัวประชาชน นอกจากการออกเสียงพร้อมเพรียงกันผ่านสื่อทุกแขนงที่ทำได้ อันเป็นการช่วยตัวเองประดุจเดียวกับการระวังไวรัสโคโรน่า