‘ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น’
สถานการณ์รัฐบาลสืบทอดอำนาจ คสช.ขณะนี้ เริ่มตั้งแต่กรณีเร่งด่วน #ไวรัสโคโรน่า ที่จนป่านนี้ชาวไทยในอู๋ฮั่นยังไม่ได้กลับบ้าน
แม้นว่าจะได้สายการบินแอร์เอเซียจัดเครื่องบินไปรับ ๑ ลำโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
เมื่อวาน (๑ กุมภา) สาธารณสุขให้รายละเอียดทั่วไปเกี่ยวกับความเสี่ยงในไทย
“ตราบใดที่มีคนเดินทางจากจีนเข้ามา คนไทยก็มีโอกาสเสี่ยง...ทำเต็มที่สุด คือป้องกันตัวเอง”
ใครที่ทำงานใช้ชีวิตประจำวันใกล้เคียงเกี่ยวข้องกับคนจีน ต้องระวังตัวมากหน่อย “สวมหน้ากากอนามัย
ล้างมือบ่อยๆ”
เพราะรัฐบาลไทยยังปล่อยให้นักท่องเที่ยวจีนไหลเข้าไทยไม่หยุด
สวนกระแสของนานาชาติ ที่เวลานี้ห้ามทัวร์จีนกันแล้ว “เช้าวันนี้มีทั้งเที่ยวบินจากปักกิ่ง,
เจิ้งโจว, กวางโจว, ซัวเถา, ฉงชิ่ง และคุณหมิง ล้วนเมืองที่พบผู้ติดเชื้อทั้งนั้น
ส่วนใหญ่มุ่งหน้าสู่กรุงเทพ, กระบี่, ภูเก็ต, เชียงใหม่” (@Pink_Siripipat)
หนักเข้าไปอีกในขณะนี้ปรากฏในจีนมีการระบาดของ
‘ไข้หวัดนก’ H5N1 กลับมาอีกที่มณฑลฮูนาน
อันเป็นพื้นที่ติดกับมณฑลหูเป่ยศูนย์กลางไวรัสโคโรน่า ซึ่งสาธารณสุขแถลงว่า “แพร่ระบาดได้เร็วกว่าเมอร์สและซาร์ส”
สองไวรัสร้ายคร่าชีวิตคนจีนมากมายในอดีต
และที่น่าสำเหนียกฟังไว้อย่างยิ่งจากโพสต์ของผู้ใช้นาม
‘Wu Chai’ เอ่ยถึงกรณีเกิดในเยอรมนีที่ว่า
สาวเซี่ยงไฮ้ไปมิวนิคเมื่อ ๒๐-๒๑ มกรา กลับไปเมืองจีนแล้วจึงเจออาการโคโรน่า
ส่วนหนุ่มเยอรมันที่คบกันเกิดไข้ขึ้นช่วง ๒๕-๒๗ มกรา
จึงทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า
เชื้อสามารถผ่องถ่ายจากคนต่อคนได้ก่อนออกอาการ และแม้จะรักษาอาการไข้ไปแล้ว ยังตรวจเจอเชื้อไวรัสคงอยู่ในร่าง
อันนี้แม้จะยังไม่มีการยืนยันทางการจากองค์กรสาธารณสุข แต่ก็เป็นข้อคิดประมาทมิได้
ตัวอย่างดังกล่าวเป็นความวิตกกังวลของประชาชน
ที่รัฐบาลคณะนี้ไม่สามารถปัดสวะออกไปได้ ไม่ว่าจะตะโกนดังแค่ไหนว่า ‘เอาอยู่’ มันไม่ใช่ความผิดของสื่อ
หรือเฟคนิวส์แต่อย่างไร ความหวาดระแวงจะทำให้หายได้ด้วยความมั่นใจเท่านั้น
ไหนจะเพิ่งมีรายงานสดๆ ออกมาว่า
ค่าฝุ่นละอองจิ๋ว พีเอ็ม ๒.๕ เมื่อเช้าวานนี้เอง ใน
กทม.มีอัตราเกินมาตรฐานความปลอดภัยถึง ๓๔ เขต ข่าวมติชนระบุว่า เขต “ลาดกระบังหนักสุด
ทะลุ ๗๒ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร”
ฉะนี้จึงไม่แปลกใจที่ ‘โพล’ ที่เคยเชียร์รัฐบาลชุดที่แล้ว เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ในชุดนี้แจ้งผลการสุ่มสำรวจตัวอย่าง
“๓๖.๙๒% อยากให้เร่งแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 และไวรัสโคโรนา ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน”
สวนดุสิตโพลรายงานด้วยว่ารองลงมา ๓๐.๓๒% “อยากให้ปฏิรูปการเมืองไทยให้เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ เป็นประชาธิปไตย”
ก็เลยไปพ้องจองกับอีกโพลที่มักสำรวจพบว่ารัฐบาลที่แล้วเช่นกัน
ดีอย่างโน้นอย่างนี้ค่อนข้างบ่อย
คราวนี้ ‘นิด้าโพล’
สุ่มถามเรื่อง ส.ส.เสียบบัตรโหวตผ่านงบประมาณแทนกัน
ที่ไม่บังเอิญเป็น ส.ส.ทั้งของพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล “ส่วนใหญ่ร้อยละ ๘๐.๑๔ ระบุว่าเป็นการกระทำที่ไร้จิตสำนึก” ต้องการให้รับผิดชอบด้วยการลาออก
มิใย สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม
นักการเมืองเก่าคนสำคัญที่ปฏิบัติการ ‘ดูด’ อดีต ส.ส.พรรคต่างๆ มาเข้าพรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุนให้หัวหน้าคณะรัฐประหารกลับมาเป็นนายกฯ
อีกได้สำเร็จ ทำเป็นออกมาบ่นเรื่องงบประมาณล่าช้า
“ผมเชื่อว่าทุกฝ่ายจะเห็นด้วย
ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน เพราะมีปัญหาเดือดร้อนกันหมด เราต้องช่วยกันรับผิดชอบ”
เขากล่าวอ้างว่าโครงการต่างๆ ก่อสร้าง ลงทุน
ยังเบิกจ่ายไม่ได้เพราะงบประมาณติดกึกจากปัญหา ส.ส.รัฐบาลเสียบบัตรโหวตคนละหลายใบ
(https://www.thairath.co.th/news/politic/1762113, https://www.posttoday.com/politic/news/613536 และ https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1938103)
ทีอย่างนี้จะให้ “รับผิดชอบร่วมกัน” ทั้งที่มันเป็นความมักง่ายและไม่ยอมรับฟังเสียงของฝ่ายค้าน
ดึงดันเอาเสียงข้างมากลากไป ทั้งที่เสียงข้างมากเหล่านั้นมาจากการโกง
โดยวิธีเสียบบัตรออกเสียงแทนคนที่ไม่อยู่ในที่ประชุม
ฝ่ายค้านได้อภิปรายขอตัดวงเงินค่าใช้จ่ายหลายอย่างที่เห็นว่าไม่จำเป็น
แต่รัฐบาลไม่ยอมฟัง ร้ายกว่านั้นตรงที่ฝ่ายค้านท้วงว่า เป็นการตั้งงบประมาณชนิดขาดดุลบานเบอะ
แต่ไม่มีแหล่งที่มาของเงินที่จะมาใช้จ่ายนี้
รัฐบาลชุดนี้ใช้ ‘mentality’
ความสำนึกชั่วดีอย่างทหารที่เข้าสู่การบริหารประเทศด้วยการยึดอำนาจ เห็นว่าเงินในคลังมีอยู่ก็ดีแต่เบิกจ่าย
ไม่รู้จักช่องทางหาเงินอื่นใดนอกจากเก็บภาษีโน่นนี่ยุบยับ ‘ถอนขนห่าน’ ประชาชน
ในเมื่อ คสช.ได้จัดวางหนทางต่างๆ ทั้งโกงทั้งกดเพื่อที่จะครองอำนาจยาวนาน
ผ่องถ่ายจากอำนาจรัฐประหารมาสู่ ‘การเลือกตั้ง’
ด้วยกลยุทธ์ดูดและ ‘แจกกล้วย’ เสริมด้วยกลไก สว.ตู่ตั้งรับประกันความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
ได้เป็นรัฐบาลสมัยหน้าอีกหน