วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 24, 2563

สรุปคดีฟอกเงิน 1MDB ฉบับสั้น กะ ยาว เลือกอ่านตามอัธยาศัย




สรุปข่าว การฟอกเงินระดับโลกที่ไอ้ตู่อยู่เบื้องหลัง ช่วยเหลือเครือข่ายฟอกเงินระดับโลกหลบหนี

1) นาจิบ ราซัค คนในรูปฝั่งซ้าย เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของมาเลย์ ได้รวมหัวกับพักพวกเอาเงินของรัฐเข้ากระเป๋าตัวเองเป็นจำนวนทั้งสิ้นกว่าหมื่นล้านบาท
2) เรื่องกำลังเกิดตอนไอ้ตู่รัฐประหารเข้ามาใหม่ๆ ไอ้ตู่อยากได้ผู้นำต่างชาติมารองรับตัวเอง พอดีกับนายนาจิบกำลังจะซวยเพราะเรื่องกำลังจะโป๊ะแตกเลยอยากหาเพื่อนต่างชาติมาช่วยหนุนพักพวกตัวเอง ไอ้ตู่กับนาจิบเลยรีบเป็นเพื่อนกัน
3) ผลงานไอ้ตู่เลยคอยช่วยเหลือพักพวกของนาจิบ ที่โดนหมายแดงจากตำรวจสากลข้อหาฟอกเงิน ทุจริตเอาเงินของรัฐเข้ากระเป๋า ให้เข้ามาหลบหนีในไทยได้ฟรีๆสบายๆหนีตำรวจสากล
4) แต่สุดท้ายพวกนี้ทั้งหมดไปไม่รอด สุดท้าย หลายคนโดนจับ โดนริบทรัพย์ที่โกงมาคืนให้รัฐไป
5) แต่ไอ้ตู่หน้าโง่ยังลอยนวลในข้อหาช่วยผู้ร้ายต่างแดนหลบหนี

จบการรายงานพาร์ทแรก #รอดูต่อว่าจะเป็นยังไงต่อไป สงสัยไอ้ตู่มันจะอยากเรียนรู้จากแก๊งค์นี้ว่ามันจะโกงยังไงให้ได้เงินเยอะๆขนาดนั้น #จะรอวันที่มันโดนโยนเข้าห้องขังบ้าง
...



INVESTIGATVE:เปิดข้อกล่าวหาปกปิดข้อเท็จจริงคดี “1MDB” พร้อมหลักฐานอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนอกสภาฯ ของ “พรรณิการ์” แฉ มีนักธุรกิจไทนชื่อ พ.เอี่ยวให้ที่พักพิงผู้ออกหมายจับ.

ทั้งหมดนี้เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ของ น.ส.พรรณิการ์ วานิช เปิดอภิปรายไว้วางใจรัฐบาลนอกสภา ที่ศูนย์ประสานงานอนาคตใหม่ฝั่งธน วันที่ 23 ก.พ.63

น.ส.พรรณิการ์ ระบุว่า หลักฐานที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นเหตุทำให้ควรเชื่อได้ว่ารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอช่ กระทำการ 4 ข้อ

1.ปกปิดข้อเท็จจริงในคดีอาชญากรรมการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากเพื่อนบ้านมาเลเซีย จากการรับรู้ของประชาชนคนไทย จากการรับรู้ของประชาคมโลก
2.บิดผันกระบวนการยุติธรรม นำคนบริสุทธิ์เข้าคุก และปล่อยให้อาชญากรข้ามชาติลอยนวล
3.ให้ที่พักพิงหลบซ่อนตัวแก่ผู้ที่มีหมายจับ เป็นที่ต้องการตัวในหลายประเทศ
4.บ่อนทำลายความสัมพัรนกับชาติพันธมิตรของประเทศไทย

1MDB คือ 1 Malasian Development Berhad ตั้งปี 2552 โดยนาจิบ ราซัค มีความใหญ่โตและก่อหนี้มากภายในเวลาเพียงหกปี ขาดทุนไป 3.7 แสนล้านบาท ทำให้เกิดข้อสงสัยและการตรวจสอบเริ่มต้นภายในมาเลเซียเอง จนนำไปสู่การค้นพบว่าเงินถึง 1.4 แสนล้านบาทถูกสูบออกไปจากกองทุน เข้ากระเป๋าผู้มีอิทธิพลเพียงไม่กี่คน ตัวเลขนี้มาจากรายงานของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ซึ่งในตอนแรกประเมินว่าเงินที่ถูกสูบออกไปจากกองทุน 3.5 พันล้านดอลลาร์ ต่อมามีการสอบสวนพบเครือข่ายฟอกเงินกว้างขวางมากขึ้น จึงมีการปรับแก้เป็น 4.5 พันล้านดอลลาร์ เงินที่ถูกปล้นไปจากพี่น้องชาวมาเลเซีย

น.ส.พรรณิการ์ ระบุว่า ตัวเลขที่น่าสนใจอีกตัวเลขคือ 2 หมื่นล้านบาท เป็นเงินถูกโอนเข้าบัญชีของบุคคลที่ตอนนั้นกระทรวงยุติธรรมสหรัฐว่าเจ้าหน้าที่รัฐมาเลเซียหมายเลขหนึ่ง (Malaysian Official 1) ถูกรายงานเป็นข่าวไปทั่วโลกว่าเป็นนายนาจิบ ราซัค และเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลเป็นรัฐบาลมหาเธร์ โมฮัมหมัด ก็ได้ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่รัฐมาเลเซียหมายเลขหนึ่งคือนาจิบ ราซัค ที่ตอนแรกมีการแก้ต่างว่าเป็นเงินบริจาคจากราชวงศ์ซาอุ แต่ตอนหลังมีหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่าเงินส่วนนี้มาจากการยักยอกเงินจาก 1MDB ถูกนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ เจ็ตส่วนตัว เปียโนแก้ว เรือยอชท์มูลค่าเกือบ 8 พันล้านบาท เงินเหล่านี้ถูกฟอกออกไปเข้าสู่กระเป๋าผูเมีอิทธิพลไม่กี่คน ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องผูกพันกับนาจิบ ราซัคทั้งสิ้น

กรณี 1MDB เกี่ยวพันถึงหลายประเทศทั่วโลก ทำให้ปัจจุบันมีอย่างน้อยสิบประเทศกำลังทำการเดินหน้าสอบสวนเรื่องนี้ ตั้งแต่ออสเตรเลีย ฮ่องกง อินโดนีเซีย ลักเซมเบิร์ก ซีเชลลส์ สหรัฐ อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และมาเลเซีย บุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีหลายคนถูกออกหมายแดงโดยตำรวจสากล ประเทศที่เอาจริงที่สุดคือสหรัฐ ที่อาชญากรรมการเงินโดยเฉพาะการฟอกเงินเป็นเรื่องที่ใหญ่โตระดับเดียวกับการค้ายาเสพติด สหรัฐสอบสวนคดีเกี่ยวกับ 1MDB อย่างน้อยสิบคดี อันเนื่องมาจากเงินจำนวนมากถูกนำมาซักฟอกในสหรัฐ

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ท่ามกลางความซับซ้อนของเครือข่ายฟอกเงินระดับโลกนี้ นี่คือการปล้นภาษีของชาวมาเลเซียครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาตร์ชาติ การทุจริตยักยอกที่เกิดขึ้นในกองทุน 1MDB รวมถึงความพยายามในการปกปิดข้อเท็จจริงได้ทำให้รัฐบาลนาจิบ ราซัคพ่ายแพ้ความเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ พรรคอัมโนพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคและประเทศมาเลเซียมา อาจกล่าวได้ว่าความล่มสลายของระบอบอัมโนและระบอบนาจิบ เกิดจากการพยายามใช้อำนาจทุกอย่างที่มีในมือของตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อปกปิดความผิดการทุจริตของตัวเอง แล้วประเทศไทยเองก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีอื้อฉาวที่ได้ชื่อว่าเป็นอาชญากรรมฟอกเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้ได้อย่างไร ทั้งๆที่เราไม่จำเป็นต้องเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้

“มองมาที่ประเทศสองประเทศในอาเซียน ไทยและมาเลเซียในปี 2557 ประเทศไทยเกิดการรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดย พล.อ.ประยุทธ์ ที่กำลังหาความชอบธรรมและการยอมรับจากในและต่างประเทศ ส่วนนาจิบ ราซัคเก้าอี้กำลังสั่นคลอนจากกรณีของ 1MDB เวลานั้นผู้นำที่โหยหาเพื่อนสองคนหันมามองตากันและได้รู้ว่าเจอมหามิตรแล้ว นี่คือ “พันธมิตรมืด” ระหว่างประยุทธ์และนาจิบ ภาพนี้ ที่ถ่ายในวันที่ 4 มิถุนายน 2557 ผบ.ทบ.มาเลเซียเดินทางมาเยือนและแสดงความยินดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ และมาเลเซียเป็นประเทศแรกที่ให้การยอมรับรัฐบาล คสช.

ผ่านไปไม่กี่เดือน พันธมิตรมืดก็ได้เริ่มทำงานของมัน เมื่อชาเบียร์ ฆุสโต อดีตผู้บริหารบริษัทปิโตรซาอุดีที่นำเงินจาก 1MDB มาลงทุน แต่สุดท้ายแล้วกระทรวงยุติธรรมสหรัฐพบว่าเป็นการฟอกเงิน ลาออกหอบเอาข้อมูลอีเมลล์กว่า 2.3 แสนฉบับ 90GB มาเปิดเผยกับนักข่าว แคลร์ บราวน์ จากซาราวัครีพอร์ต ก่อนที่จะมีการตีแผ่ต่อไปที่ Wallstreet Journal กลายเป็นเรื่องโด่งดังระดับโลก”น.ส.พรรณิการ์ กล่าว

น.ส.พรรณิการ์. ระบุว่า ในเวลานั้นสิ่งที่นาจิบต้องการมากที่สุดคือต้องการปิดปากชาเบียร์ ฆุสโต และแคลร์ บราวน์ และต้องการนำข้อมูล 90GB กลับคืนมา ไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลไปมากกว่านี้ และต้องการให้แคลร์ บราวน์ กับชาเบียร์ ฆุสโตรับสารภาพว่าทั้งหมดเป็นการใส่ร้ายทำลายความน่าเชื่อถือของนาจิบ

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวอีกว่าสิ่งแรกที่นาจิบทำคือพยายามตามล่าทั้งสองคน ปัญหาคือทั้งสองคนไม่ใช่บุคคลธรรมดา แคลร์ บราวน์ เป็นน้องสะใภ้ของกอร์ดอน บราวน์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งตัดสินใจเดินทางไปที่อังกฤษ แต่ก็ยังถูกคุกคาม สะกดรอยตาม แฮคอีเมลล์ขณะอยู่ที่อังกฤษ แต่ก็ยังปลอดภัย แต่สำหรับชาเบียร์ ฆุสโต เขาเลือกที่ยังอยู่ในประเทศไทย ที่ๆเขาพบรักกับภรรยาและลูกคนแรกเกิด ที่ๆเขาตั้งใจจะลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวที่เกาะสมุย ชาเบียร์ประมาทนาจิบราซักผู้ต้องการปิดปากเขาและพันธมิตรมืดมากไป

“จะมีที่ไหนปลอดภัยไปกว่าคุกไทย ในเวลาที่รัฐบาลปกครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ภาพนี้ 23 มิถนายน 2558 ชาเบียร์ ฆุสโตถูกจับกุมที่บ้านที่เกาะสมุย เพียงแค่สี่เดือนให้หลังจากเปิดเผยข้อมูล 1MDB ออกมา ตำรวจสิบกว่าคนบุกไปจับที่บ้าน ถูกนำตัวออกมาแถลงข่าว โดยมีหลักฐานกางอยู่บนโต๊ะ เอกสารทั้งหมดในบ้านมากองแล้วบอกว่าเป็นหลักฐาน” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว

ชาเบียร์ถูกจับในข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์ จากสำนวนของตำรวจ ปิโตรซาอุดี้เป็นผู้ประสานให้ตำรวจไทยจับกุม กล่าวหาว่าชาเบียร์ได้ทำการข่มขู่แพทริค มาฮอนี่ ว่าจะเปิดเผยข้อมูลความลับการค้าของบริษัท ถ้าหากไม่ได้เงิน 83 ล้านบาท การกรรโชกทรัพย์ที่กล่าวอ้างถึงเกิดขึ้นในปี 2556 แต่การจับกุมเกิดขึ้นในปี 2558 และบังเอิญเหลือเกินว่าการจับกุมเกิดขึ้นพียงสี่เดือนหลังเปิดชาเบียร์โปงเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่ของทศวรรษ

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ ขีดเส้นใต้สามเรื่อง 1.ตำรวจไทยบอกว่าตำรวจอังกฤษได้มาร่วมสอบสวนคดีนี้ด้วย 2.ตำรวจบอกว่าพร้อมให้ความร่วมมือกับนานาชาติในการสอบสวนคดี 3.ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมชาเบียร์โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ด้วย นี่จะกลายเป็นขบวนการปาหี่ต้มตุ๋นระดับชาติ ในการบีบให้คนบริสุทธ์เข้าคุกและรับสารภาพในข้อความอันเป็นเท็จ

ข้อแรก ที่อ้างว่าเป็นมีตำรวจอังกฤษเข้ามาร่วมสอบสวนในคดีนี้ด้วย ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกต้อง ตำรวจคนนี้เป็นตำรวจปลอม ชื่อพอล ฟินิแกน ในอีเมลฉบับนี้ซึ่งสำนักงานทนายความของปิโตรซาอุดี ชื่อแอทดินส์ ทอมป์สัน เขียนถึงหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดี้ยน ที่ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับ 1MDB และพาดพิงถึงปิโตรซาอุดี สาระสำคัญคือประโยคนี้ “เปโตรซอุดี้ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านความมั่นคงที่เป็น “อดีตตำรวจ” เพื่อมาประสานงานในการสอบสวนกับตำรวจไทยในคดีนี้

น.ส.พรรณิการ์ อ้างหลักฐาน จากบันทึกที่ได้จากโทรศัพท์ของลอร่า ฆุสโต ภรรยาของชาเบียร์ ที่พูดคุยกับแพทริก มาฮอนี่ ผู้จัดการเปโตรซาอุดี ที่เป็นผู้ฟ้องร้องชาเบียร์และทำให้เขาต้องเข้าคุกไทย จากการพูดคุยผ่านวอทส์แอพ แพทริกระบุชัดเจนหลายครั้งว่าพอล ฟินิแกน เป็นคนที่แพทริกว่าจ้างมา อีเมลล์ฉบับนี้มาจากสำนักงานทนายความที่ปิโตรซาอุดีว่าจ้างมาเอง ก็ยังยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

“สิ่งที่ผิกปกติมากไปอีกขั้น คือพอล ฟินิแกน เป็นคนที่ชาเบียร์ ฆุสโตบอกกับตนเอง ว่าพอล ฟินิแกน เป็นคนเข้าเยี่ยมเขาและกล่อมให้เขารับสารภาพ จากบันทึกรายชื่อผู้เข้าเยี่ยมชาเบียร์ในเรือนจำคลองเปรม ชื่อที่ปรากฏประกอบไปด้วย เนดีม เบฮาล เพื่อนของชาเบียร์ และชื่อถือสองคือแพทริก มาฮอนี น่าประหลาดใจว่าทำไมคู่คดีถึงเป็นคนที่เข้าเยี่ยมเขาบ่อยและเป็นชื่อลำดับสอง ที่น่าตื่นใจ คือตำรวจคนหนึ่ง ชื่อถูกวงเล็บไว้ว่าเป็นเพื่อน ไม่มีการระบุยศ ราวกับไม่ใช่ตำรวจ เป็นข้อสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่มีการระบุว่านี่คือตำรวจกองปราบฯ แต่สิ่งที่น่าสงสัยที่สุดคือชื่อของพอล ไม่ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้เข้าเยี่ยม เป็นคนอยู่เหรือกฎระเบียบขอเรือนจำหรือถึงไม่ต้องถูกบันทึกชื่อไว้”

นอกจากนี้สิ่งที่ น.ส.พรรณิการ์ ระบุว่า น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก นี่คือบันทึกบนสนทนาวอทส์แอพ ระหว่างแพทริกผู้ฟ้องร้อง กับลอร่า ภรรยาของชาเบียร์ ทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานที่ได้รับการรับรองจากศาลสวิตเซอแลนด์แล้วว่าเป็นหลักฐานจริง เป็นบทสนทนาเรื่องการเข้าเยี่ยมในเรือนจำ ระบุว่าฉันสามารถควบคุมการเข้าเยี่ยมชาเบียร์ได้ ยกเว้นการเข้าเยี่ยมของทนายความ คำถามคือทำไมคนของปิโตรซาอุดีถึงกล้าพูดว่าสามารถควบคุมคนเข้าเยี่ยมในเรือนจำได้ และดูเหมือนจะควบคุมได้จริง เพราะคนที่เข้าเยี่ยมซึ่งเป็นคนของปิโตรซาอุดี สก็อตแลนยาร์ดปลอม พอล ฟิลิแกน ไม่มีชื่ออยู่ในรายชื่อผู้เข้าเยี่ยม ทั้งๆที่ชาเบียร์ยืนยันว่ามาเยี่ยมเป็นประจำ

“ความผิดปกติทั้งหมดนี้บ่งบอกว่าปิโตรซาอุดี สามารถเข้าไปควบคุมตัวพยานปากเอกในคดี 1MDB ถึงในเรือนจำของประเทศไทย และเอาข้อมูล 90GB เหล่านั้นกลับคืนจากลอร่า จึงทำทีว่าจะช่วยเหลือสองสามีภรรยานี้ นี่คือขบวนการต้มตุ๋นระดับชาติที่เกิดขึ้นในเรือนจำของไทย ภายใต้ตัวละครที่ประกอบไปด้วยตำรวจและเจ้าหน้าที่เรือนจำ

ถ้าจะมีอะไรที่ชัดเจนไปยิ่งกว่านี้ นั่นคือบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง ลอร่า กับตำรวจเจ้าของคดีผู้ที่จับกุมและดำเนินคดีชาเบีย “ลอร่าพยายามถามพงษ์ไสวถึงคนที่ขื่อพอล ฟิลิแกน โดยพงษ์ไสวยืนยันว่าพอล ฟิลิแกนรู้จักกันดีและเข้าไปเยี่ยมชาเบียร์บ่อยๆ เคยมา เคยไปเยี่ยมชาเวีย” ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าเรือนจำไทยกลายเป็นที่คุมขังปิดปากพยานปากเอกของคดีอาชญากรรมการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก 1MDB และตำรวจกับเจ้าหน้าที่เรือนจำประเทศไทยไปให้ความร่วมมือกับเรื่องนี้ได้อย่างไร” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว และระบุด้วยว่า

ข้อสังเกตคือ ตำรวจขึ้นกับสำนักงานตรแห่งชาติ ขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรี เรือนจำขึ้นกับกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม การที่ทั้งสององคาพยพให้ความร่วมมือกับเรื่อนี้ได้ต้องมีคนที่สั่งการได้มากกว่าสองกระทรวง เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่

น.ส.พรรณิการ์ ระบุว่า ลอร่าบอกกับตนเองว่าเอฟบีไอเคยมาติดต่อเธอและเล่าให้ฟังว่าพยายามเข้าไปขอสอบสวนชาเบียร์ในเรื่อนจำกลางคลองเปรมสามครั้ง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธทั้งสามครั้ง สิ่งที่เอฟบีไอทำได้ คือการไปติดต่อลอร่าและให้ลอร่าเขียนจดหมายถึงสามี ลักลอบนำข้อมูล 1MDB ออกจากมาจากเรือนจำไทย ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 6 เดือนเพื่อให้เอฟบีไอมีข้อมูลเพียงพอ

“ไหนคือการให้ความร่วมมือกับนานาชาติในการสอบสวนเรื่องนี้? ไม่ต้องการให้เอฟบีไอเข้าถึงชาเบียร์เพราะต้องการปกปิดความจริงในกรณี 1MDB หรือไม่? ถ้ามีเหตุผลอื่นก็ไม่ทราบว่าจะต้องปกปิดปิดกั้นการเข้าถึงผู้ต้องหารายสำคัญนี้ทำไม”

น.ส.พรรณิการ์ ระบุว่า นี่คือบทสนทนาระหว่างพอล ฟินิแกนกับลอร่า นี่เป็นอีกหนึ่งความผิดปกติ จากกรณีอดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บอกว่าเป็นผู้ต้องหาสำคัญ เข้าเยี่ยมไม่ได้โดยไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ด้วย บทสนทนาในวอทส์แอพนี้ พอลบอกว่าถ้าลอร่าอยากเข้าเยี่ยมชาเบียร์โดยไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ด้วยก็ให้เข้าไปติดต่อคุณจักร เลขานุการผู้บังคับการเรือนจำแล้วคุณจะได้เข้าเยี่ยมคนเดียว ทำไมเกิดเรื่องนี้ได้ในเรือนจำของไทย พอลยังระบุอีกว่าคนที่ช่วยเจรจาเรื่องนี้คือบุคคลที่มีโค้ดเนมว่า Ping Pong เจรจาหลายเรื่องให้ชาเบียได้รับสิทธิพิเศษบางประการในเรือนจำ เพื่อให้รับสารภาพในข้อความอันเป็นเท็จ และคืนข้อมูล 90 gb ให้

ความผิดปกติที่เกิดขึ้น จากที่จับจากคำให้การของตำรวจเอง เกิดจากแค่การรับเงินรับทองในเรือนจำ การติดสินบนตำรวจจริงหรือ การที่สกอตแลนยาร์ดปลอมเข้านอกออกในเรือนจำได้โดยไม่มีบันทึกและตำรวจก็รู้เห็น การที่ชาเบียร์ถูกเก็บไว้ในในเรือนจำไม่ได้รับการประกันตัวหนึ่งเดือนเต็ม ไม่ได้เจอใครนอกจากคนของปิโตรซาอุดี จนสุดท้ายก็ต้องจำใจยอมรับสารภาพว่าทำไปเพื่อใส่ร้ายนาจิบโดยสมคบกับฝ่ายค้านมาเลเซียกุเรื่องขึ้นมา เป็นคำสารภาพที่ตอนนี้ทั้งโลกรู้แล้วว่าไม่จริง เพราะกรณี 1MDB ถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมดแล้ว

น.ส.พรรณิการ์ ระบุด้วยว่า ทั้งหมดนี้ติดสินบนกันเป็นรายคนหรือไม่ เป็นความผิดปกติของระบบ หรือคือผลงานของพันธมิตรมืด ที่สมรู้ร่วมคิดกันปกปิดข้อมูลอาชญากรรม 1MDB ตำรวจขึ้นกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรือนจำขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม บุคคลที่สามารถสั่งการทั้งสองหน่วยงานนนี้ได้คือใครถ้าไม่ใช่นายกรัฐมนตรี

ความผิดปกติในคดีชาเบียร์ไม่ได้จบลงแค่เรื่องความผิดปกติของตำรวจ เมื่อชาเบียร์รับสารภาพแล้ว ถูกตัดสินจำคุกสามปี เมื่อคำพิพากษามาถึงที่สุด สถานทูตและรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์พยายามอย่างเต็มที่ในการเอาตัวชาเบียร์กลับสวิตเซอร์แลนด์ โดยในเดือนมกราคม 2559 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทำเรื่องอย่างเป็นทางการขอโอนตัวชาเบียกลับสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากไทยและสวิตเซอร์แลนด์มีสัญญาส่งตัวนักโทษข้ามแดนระหว่างกัน ในเดือนสิงหาคม 2559 ชาเบียร์ได้รับการแจ้งจากเจ้าหน้าที่สถานทูตสวิตเซอร์แลนด์ว่าเดือนกันยายน 2559 เขาน่าจะได้กลับสวิตเซอร์แลนด์ การทำข้อตกลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ขั้นตอนอย่างเป็นทางการเท่านั้น แต่แล้วข้อตกลงนั้นก็ล่ม

ในวันที่ 8-9 กันยายน 2559 นาจิบได้มาเยือนประเทศไทยเป็นทางการ สถานทูตสวิตเซอร์แลนด์เข้าใจและบอกชาเบียร์ว่ข้อตกลงนี้น่าจะแค่เลื่อนออกไป รัฐบาลไทยคงไม่ต้องการส่งตัวในช่วงที่นาจิบมาเยือนประเทศไทย แต่สุดท้ายข้อตกลงนั้นด็ไม่เคยเกิดขึ้น เดือนกันยายนปีเดียวกันนั้น ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้เจอกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวิตเซอร์เลนด์อีกครั้งที่นิวยอร์ค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้ย้ำเตือนว่าไทยไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญญาที่มีต่อกัน แต่กระทรวงการต่างประเทศก็ยังคงปฏิเสธ

จนในเดือนกันยายนมีแถลงการณ์ออกมาจากกระทรวงการต่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แสดงความเสียใจต่อการตัดสินใจของไทยที่ไม่ยอมส่งตัวชาเบียร์กลับสวิตเซอร์แลนด์ แต่กระทรวงยุติธรรมของไทยก็มีแถลงโต้ออกมาว่าเป็นไปตามกฎกระทรวง ว่าการโอนตัวนักโทษข้ามแดนถ้าเหลือโทษน้อยกว่าหนึ่งปีไม่สามารถโอนตัวกลับได้

คำถามคือคำพิพากษาออกมาแล้วก่อนหน้านั้นหนึ่งปี รัฐบาลไทยทำอะไรอยู่ ทำไมไม่มีการโอนตัวกลับไปสวิตเซอร์แลนด์ตามสนธิสัญญาที่มีต่อกัน ที่สำคัญกว่านั้นคือแล้วทำไมสัญญาโอนตัวที่สำเสร็จเกือบสมบูรณ์แล้วทำไมต้องล่มระหว่างนาจิบเยือนไทยอย่างเป็นทางการ

ชาเบียพ้นโทษวันที่ 20 ธันวาคมปีเดียวกัน ออกมาจากเรือนจำกลับไปสวิตเซอร์แลนด์แล้วพบว่าตัวเองถูกเนรเทศจากประเทศไทย ห้ามเข้าประเทศไทย 100 ปี ในคดีปกติทั่วไปเป็นเรื่องปกติที่จะถูกเนรเทศ 5-10 ปีบ้าง ในคดียาเสพติดบางคดีอาจโดน 50 ปี แต่ทำไมชาเบียร์ ฆุสโต ที่ถูกข้อหากรรโชกทรัพย์ โทษจำคุก 6 ปี สารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือสามปี กลับถูกเนรเทศจากประเทศไทยตั้งแต่ปี 2016 - 2116 เพราะไม่ต้องการให้กลับมาแพร่งพรายความจริงในประเทศไทยหรือไม่

นี่คือความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับคดีของชาเบียร์ คงไม่เป็นการกล่าวเกินไปหรือว่ารัฐบาลไทยเอาคนบริสุทธิ์เข้าคุก เข้าไปบีบให้รับสารภาพข้อความอันเป็นเท็จในเรือนจำของไทย บ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาที่ไม่ให้ความร่วมมือกับเอฟบีไอ ระหว่างไทยกับสวิตเซอร์แลนด์ที่ไม่ยอมทำตามสนธิสัญญาส่งตัวนักโทษข้ามแดน คงพอจะกล่าวได้ว่านี่คือความผิดปกติ นี่คือการเอาจุดยืนในเวทีโลกความสัมพันระหว่างประเทศของไทยไปแลกกับอะไรก็ไม่รู้ที่อยู่เบื้องหลัง “พันธมิตรมืด”

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวอีกว่า ในเวลาเดียวกันนั้น ทั่วโลกจับตามองไปเกินกว่าชาเบียร์ ฆุสโตแล้ว และทั่วโลกกำลังจับตามองไปที่อีกคนหนึ่ง คือ “โจโล” และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่รัฐบาลไทยไปมีส่วนไปพัวพัน จนทำให้เราเชื่อได้ว่านอกจากจับคนบริสุทธิ์เข้าคุกแล้ว ยังปล่อยให้อาชญากรข้ามชาติใช้ไทยเป็นที่กบดาน

“โลโจ” หรือโลเตี๊ยกโจ นักธุรกิจคนจีนสัญชาติมาเลเซียจากปีนัง เป็คนมีเครือข่ายธุรกิจกว้างขวาง กำลังถูกสอบสวนจากหลายประเทศ ทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย และสหรัฐ ซึ่งเพิ่งริบทรัพย์โจโลไป 2 หมื่นกว่าล้านบาท คืนให้รัฐบาลมาเลเซีย โจโลถูกตั้งข้อหาว่าเป็นจอมบงการในการฟอกเงิน 1MDB ใช้ชีวิตหรูหรากับคนดังระดับโลก ไปปาร์ตี้กับลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ เพราะเงินของ 1MDB ถูกเอาไปฟอกเงินผ่านการสร้างหนัง The Wolf of Wallstreet ด้วย รวมทั้งซื้อของขวัญให้ดารานักแสดงระดับโลก เช่นปารีส ฮิลตัน, มิรันดา เคิร์ล, บริทนี เสปียรส์

สิ่งที่โจโลทำทุกครั้งเวลาไปถึงประเทศไหน ก็คือการเข้าหาพี่ใหญ่ของประเทศนั้น เพื่อให้เกิดการอำนวยความสะดวกในการอยู่เหนือกฎหมายได้ และจะมีประเทศไหนที่จะทำแบบนั้นได้ง่ายดายไปกว่าประเทศไทยในรัฐบาลทหาร ที่มีพี่ใหญ่ไม่กี่คนที่ปกครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ในวันที่ 7 ตุลาคม 2560 สิงคโปร์ได้ขอให้ตำรวจสากลออกหมายแดง ติดตามนำตัวโจโลมาดำเนินคดีฟอกเงิน ตำรวจที่อยู่ในเครือข่ายของตำรวจสากลทั่วโลกต่างมีข้อมูลนี้ในระบบ ประเทศภาคีมีหน้าที่ต้องติดตาม ตรวจสอบ แจ้งเบาะแส เพื่อให้เกิดการนำตัวบุคคลที่ถูกแจ้งหมายไปดำเนินคดีในประเทศที่ผู้ขอขอไปได้

แต่นั้บตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2560 ถึง 13 พฤษภาคม 2561 ข้อมูลการเดินทางเข้าออกไทยของโจโล ชัดเจนว่าอยู่ในระบบ ตม.ถึง 5 ครั้ง เดินทางเข้าออกประเทศไทยอย่างสบายใจ แม้จะเดินทางโดยเครื่องบินส่วนตัว แต่เมื่อผ่าน ตม.ก็ย่อมต้องขึ้นว่าโจโลถูกหมายแดงของตำรวจสากล เกิดอะไรขึ้น ตม.ถึงปล่อยให้โจโลเดินทางเข้าออกจากประเทศไทยได้ถึง 5 ครั้ง เกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการยุติธรรมขอประเทศไทย

น.ส.พรรณิการ์ ระบุว่า จริงอยู่เป็นประยุทธ์อาจลำบากใจ จะส่งตัวหรือไม่ส่งตัวก็จะผิดใจไม่มาเลเซียก็สิงคโปร์ทั้งคู่ เรื่องง่ายๆก็คือเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รอง เอากระดูกมาแขวนคอทำไม แค่ปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศก็ไม่ต้องหมางใจกับใคร แต่ไม่มีหลักฐานใดปรากฏเลยว่าเราได้พยายามแล้วที่จะขัดขวางการเข้าเมืองของโจโล หรือความพยายามว่ามีการแจ้งสิงคโปร์ซึ่งเป็นผู้ขอหมายแดง

“หลักฐานประการสำคัญอีกเรื่องที่แสดงให้เห็น ว่าโจโลมั่นใจว่าพันธมิตรมืดคุ้มครองเขาได้ คือวันสุดท้ายที่โจโลเลือกเดินทางออกจากประเทศไทย คือวันที่ 13 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นวันประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย ในวันที่ปากาตันฮาราปัน แนวร่วมฝ่ายค้านชนะรัฐบาลอัมโนของนาจิบ ราซัคได้ วันที่ 10 พฤษภาคม โจโลเตรียมเปิดแชมเปญฉลองอยู่ที่ภูเก็ต แต่ต่อมาเมื่อเหตุกลับพลิกผัน โจโลที่กำลังช็อคและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จนมหาเธร์นายกรัฐมนตรีคนใหม่ประกาศภารกิจนำเงินจาก 1MDB มาคืนให้ประชาชนทุกบาททุกสตางค์ คืนวันที่ 12 พฤษภาคม ตำรวจมาเลเซียเข้าค้นอพาร์ทเมนต์ของนาจิบ ยึดเงินสดได้กว่า 900 ล้านบาทและกระเป๋าแบรนด์เนม 400 กว่าใบ วันนั้นโจโลมั่นใจว่านาจิบ ราซัค หมดอำนาจลงแล้วและมหาเธร์เอาจริง วันที่ 13 พฤษภาคมโจโลจึงตัดสินใจเดินทางออกจากประเทศไทยพร้อมพวกอีก 5 คน และไม่เคยกลับมาประเทศไทยอีกเลยอย่างเป็นทางการ แต่เครือข่ายของโจโลก็ยังคงใช้ไทยเป็นแหล่งกบดานอยู่”

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า คู่หนึ่งของพันธมิตรมืดตกจากอำนาจแล้ว แต่ประยุทธ์ยังคงอยู่ และความพยายามในการช่วยเหลือโจโลและเครือข่ายของเขาก็ยังคงอยู่ เมื่อทำผิดไปแล้วความพยายามปกปิดก็ยังต้องไปให้สุด หนึ่งในเครือข่ายของโจโล คือตังเค็งฉี คนถือเงินของโจโล หนึ่งในบุคคลที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐสอบสวนอยู่ ถูกออกหมายแดงในคดีพัวพันการทุจริต 1MDB หมายแดงออกเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2561 เรื่องที่น่าสนใจคือเขาอยู่ประเทศไทยจนวีซ่าขาด ตังเค็งฉีไปขอต่อวีซ่าโดยใช้บริการไทยแลนด์อีลีท ตม.พบว่าวีซ่าขาดและอยู่ใน Watch List ของตำรวจแต่ก็ยังต่อวีซ่าให้ตังเค็งฉี 14 วัน และสุดท้ายก็มลายหายไป ไม่มีหลักฐานปรากฏว่าออกจากไทยไปเมื่อไหร่ แต่มีรายงานข่าวว่าตังเค็งฉีกบดานอยู่ในบ้านของบุคคลในเครื่องแบบที่เขาใหญ่ มีบุคคลในเครื่องแบบคุ้มครอง และเพิ่งออกจากไทยไปเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง

นอกจากนี้ยังมีอีกบุคคลที่ชื่อว่าจัสมิน ลู หรือ ลู ไอสวอน ทนายความของโจโล ทั้งตังเค็งฉีและจัสมิน ลูเป็นคนสนิทที่สุดของโจโล ทั้งคู่เดินทางเข้าออกประเทศไทย กบดานในประเทศไทย สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับจัสมิน ลู คือบันทึกการเดินทางออกจากประเทศไทยผ่านสนามบินสุวรรณภูมิของจัสมินลู ลงวันที่ 7 กันยายน 2561 หมายแดงออกหลังจากจัสมิน ลูเดินทางออกจากประเทศไทยไปแล้ว แต่จัสมิน ลูถูกขึ้น Watch List จาก รอง ผบ.ตร.ท่านหนึ่ง และได้แจ้งมาทาง ตม.ว่าถ้าพบบุคคลนี้เข้าออกเมืองให้แจ้งมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่จัสมิน ลู เดินทางออกทางช่องทางปกติได้โดยรอง ผบ.ตร.ท่านนั้นไม่ได้รับแจ้ง ใครกันที่สามารถละเมิด Watch List ของคนระดับรอง ผบ.ตร.ได้

น.ส.พรรณิการ์ เปิดเผย ข้อมูลการเดินทางเข้าออกประเทศไทยของจัวมิน ลู เราได้ทำการเช็คสองครั้ง ครั้งแรกในเดือน พฤศจิกายน 2562 มีการเดินทาง 36 รายการ ออกครั้งสุดท้ายวันที่ 7 กันยายน 2561 แต่มาดูข้อมูลตอน เดือนมกราคม 2563 ฐานข้อมูลของ ตม.จาก 36 รายการเข้าออกของจัสติน ลู เหลือ 14 รายการ หายไป 22 รายการ พบว่าวันที่เดินทางออกจากประเทศไทยครั้งสุดท้ายคือวันที่ 29 ธันวาคม 2559 บันทึกจาก เดือนธันวาคม 2016 ถึงเดือนกันยายน 2018 หายไปไหน ใครกันที่นอกจากละเมิด Watch List ของรอง ผบ.ตร.ได้แล้วยังสามารถให้ลบข้อมูลในฐานข้อมูลของ ตม.ได้อีกด้วย

“จัสมิน ลู ถูกออกหมายแดงวันที่ 17 ธันวาคม 2561 ไม่กี่เดือนก่อนมีหมายแดง ตัวเค็งฉีก็ออกจากประเทศไทยก่อนที่จะถูกออกหมายแดงในวันเดียวกัน พวกเขารู้ว่ากำลังจะถูกออกหมาย และรู้ว่าจะหลบเลี่ยงออกจากประเทศไทยได้อย่างไร พันธมิตรมืดยังคงคุ้มครองพวกเขาอยู่หรือไม่” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว

“ตังเค็งฉีและจัสมิน ลู ยังได้รับความช่วยเหลือจากอีกคนหนึ่งคือนาย พ.พาน นักธุรกิจไทยที่ Wallstreet Journal รายงานว่ากำลังถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐสอบสวนในความเกี่ยวพันกับเครือข่ายของโจโล ว่าอาจจะเป็นกระเป๋าเงินให้โจโลในการใช้จ่ายในประเทศไทย ตำรวจไทยมีข้อมูลว่านาย พ.ได้ใช้บัตรเครดิตตัวเองจองที่พักให้กับโจโลในประเทศไทย คนขับรถของนาย พ.ก็อำนวยความสะดวกรับส่งโจโล, ตังเค็งฉี, และจัสมิน ลู รู้ไปถึงเลขทะเบียน ชื่อคนขับ บ้านคนขับรถ ตำรวจไทยมีข้อมูลทั้งหมดแต่ไม่มีการสอบสวนใดๆในเรื่องนี้เลย”น.ส.พรรณิการ์ ระบุ และกล่าวอีกว่า

ประเทศไทยไม่ได้เป็นหนึ่งในสิบประเทศที่มีการเปิดการสอบสวนคดี 1MDB นาย พ.คนนี้ไม่ได้แปลกหน้าสำหรับตำรวจ บริษัทนาย พ.เป็นคู่สัญญากับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำระบบสารสนเทศให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างน้อยหนึ่งสัญญา ตำรวจรู้จักเขาแน่นอนแต่ไม่มีการดำเนินคดีอะไรทั้งที่มีข้อมูลมากมายขนาดนี้ นี่เป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ว่าเครือข่าย 1MDB ใช้ประเทศไทยอย่างสนุนกสนาน มีการช่วยเหลือกันอย่างเป็นระบบ

“ตั้งแต่วันที่ชาเบียร์ถูกจับ 22 มิถุนายน 2558 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทั้งหมดมีอะไรบ้าง ตำรวจที่ขึ้นตรงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรี, กระทรวงยุติธรรมซึ่งดูแลเรือนจำ, กระทรวงการต่างประเทศซึ่งเกี่ยวข้องกับการเจรจาเพื่อขอส่งตัวชาเบียร์กลับสวิตเซอร์แลนด์และการโอนตัวนักโทษ, กระทรวงมหาดไทยเรื่องการเนรเทศร้อยปีซึ่งไม่สมเหตุสมผล, เกี่ยวมาถึง ตม.ที่ตั้งแต่ปี 2668-2563 ที่ข้อมูลจัสตินลูถูกลบ เปลี่ยน ผู้บังคับการ ตม. เปลี่ยน ผบ.ตร. ไปแล้วกี่คน เปลี่ยน ผบ.เรือนจำคลองเปรมไปแล้วกี่คน เปลี่ยนรัฐมนตรีไปแล้วกี่คน บุคคลที่ไม่เปลี่ยนยังอยู่เสมอและมีอำนาจสั่งการข้ามหลายกระทรวงจะเป็นใคร ถ้าไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว

“ทั้งหมดนี้ตนเป็นกังวลเหลือเกินว่าประเทศไทยของเรากำลังถูกโกงและย่ำยีศักศรี ทำให้เชื่อได้ว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ปกปิดข้อเท็จจริงของคดีอาชญากรรมการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก คดีอาชญากรรมที่สิบประเทศกำลังติดตามนำตัวคนผิดมาดำเนินคดี และนำเงิน 1.4 แสนล้านบาทคืนสู่กระเป๋าพี่น้องชาวมาเลเซีย

รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ทำให้ตนเชื่อว่ากำลังขัดขวางกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศที่จะนำตัวคนผิดมาดำเนินคดี บิดผันกระบวนการยุติธรรมในประเทศ เอาคนบริสุทธ์เข้าคุกเพื่อปิดปาก แต่กลับปล่อยให้คนที่มีหมายแดงจากตำรวจสากลลอยนวลใช้ไทยเป็นแหล่งกบดาน บ่อนทำลายความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ ขัดขวางกระบวนการสอบสวนของเอฟบีไอ บ่อนทำลายความสัมพันธ์ไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ไม่ทำตามสัญญาโอนตัวนักโทษข้ามแดนระหว่างกัน บ่อนทำลายความสัมพันธ์ไทย-สิงคโปร์ด้วยการเพิกเฉยต่อหมายแดง บ่อนทำลายความสัมพันธ์ไทย-มาเลเซียโดยการปกปิดความจริงและให้ที่พักพิงแก่ผู้ที่รัฐบาลมาเลเซียกำลังต้องการตัวเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ขัดขวางกระบวนการนำเงินที่เป็นของพี่น้องมาเลเซียกลับไปคืนสู่เจ้าของ”

น.ส.พรรณิการ์ ระบุว่า คดี 1MDB ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในมาเลเซียมาแล้ว เรื่องอื้อฉาวที่ใหญ่โตด้วยจำนวนเงินและหนักหนาสาหัสด้วยความพยายามในการปกปิดความผิด ได้ทำให้รัฐบาลนาจิบ ราซัคล่มสลาย ระบอบอัมโนต้องล้มลง ก่อเกิดเป็น “ปากาตันฮาราปัน” ที่แปลว่าพันธมิตรแห่งความหวังในมาเลเซีย ในยุคที่มืดที่สุดของมาเลเซีย เรื่องอื้อฉาวที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเขาได้ทำให้ประชาชนมารวมตัวกันจุดแสงสว่างแห่งความจริงและความหวังขึ้นมา เปลี่ยนรัฐบาลและนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่าของมาเลเซีย ดิฉันหวังว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกันในประเทศไทย ในยุคที่มืดมิดที่สุด ในยุคที่ทำให้เราเชื่อว่าอำนาจมืดกดหัวพวกเราและเราต่อสู้ทำอะไรไม่ได้

“ดิฉันเชื่อว่าวันนี้จะเป็นวันเริ่มต้นที่ประชาชนจะออกมาเรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบข้อเท๗จริงต่อสังคม แสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ เราอยากจะมีรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบต่อเพื่อนบ้าน ทำตามกฎกติการะหว่างประเทศ มีความรับผิดชอบต่อประชาคมโลก ทำตัวมีศักดิ์ศรี ถ้ารัฐบาลเป็นรัฐบาลของอนาคตใหม่เราก็คงทำเช่นนั้นได้ เราก็คงเปิดการสอบสวนการทุจริต การฟอกเงินในคดี 1MDB ได้ แต่ในเมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไปแล้ว การจะทำเช่นนั้นก็คงจะเกิดขึ้นจริงไม่ได้

แต่สิ่งที่เป็นจริงได้อยู่ก็คือพี่น้องประชาชนช่วยกันเรียกร้องการตรวจสอบข้อเม็จจริงในเรื่องนี้ เรียกร้องหาความจริง แสงสว่างแห่งความหวังและความจริงจะต้องปรากฏในประเทศนี้นี้ เรื่องนี้ต้องมีคำตอบ และในวันนั้นประเทศไทยจะเป็นประเทศที่เราภาคภูมิใจได้อีกครั้ง ศักดิ์ศรีของประเทศไทยจะถูกกอบกู้กลับคืนมา โดยการช่วยกันแสวงหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ของเราประชาชนคนไทย”น.ส.พรรณิการ์ กล่าวทิ้งท้าย

ที่มาข่าวและภาพจากการแถลงของ น.ส.พรรณิการ์ วานิช คณะอนาคตใหม่

#TheReporters #เดอะรีพอร์ตเตอร์ #คณะอนาคตใหม่ #อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนอกสภา