วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 23, 2563

บทความ The Economist : Thailand’s courts ban the country’s third-biggest political party แปลไทย



Thai translation of article in The Economist:
ก้าวหน้าเกินไป
ศาลไทยยุบพรรคการเมืองที่ใหญ่เป็นระดับสามของประเทศ
พรรคอนาคตใหม่ได้เสนอทางเลี่ยงจากความขัดแย้งมายี่สิบปีที่กระทบการเมืองไทย
ขณะที่พวกเขากำลังนั่งรอที่สำนักงานใหญ่ว่า พรรคอนาคตใหม่จะโดนยุบหรือไม่ ผู้สนับสนุนพรรคการเมืองใจกล้านี้ ก็เข้าคิวซื้อของที่ระลึกของพรรค ส่วนพวกที่ซื้อเสื้อหรือหมวกสีส้มได้แล้ว ก็ยังมีถุงย่าม ร่ม ถ้วยกาแฟที่พิมพ์คำว่า “I’m possible” (ฉันคือความเป็นไปได้) และ “Keep calm and love democracy” (ใจเย็นเข้าไว้ ให้รักประชาธิปไตย) และสินค้าระดมทุนของพรรค แต่มันเป็นประเด็นการหาทุนนี่เอง ที่ทำให้พรรคโดนยุบในตอนบ่ายของวันที่ ๒๑ กพ “ฉันว่าพวกแกนนำของพรรคได้เตรียมการรับมือไว้แล้ว” ผู้สนับสนุนพรรคคนหนึ่งกล่าว
ศาลตัดสินว่า เงินกู้ เป็นสิ่งผิดกฎหมาย แล้วยุบพรรคอนาคตใหม่ ด้วยข้อกล่าวหาว่าทางพรรคละเมิดกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองใดรับบริจาคทรัพย์สินที่คิดว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และศาลนี้ก็ยังสั่งงดการยุ่งเกี่ยวกับการเมืองของ คณะกรรมการผู้บริหารพรรค เป็นเวลาหนึ่งทศวรรษ และยังเน้นอีกว่าพรรคไม่อาจจะตั้งพรรคใหม่ได้อีกด้วย “ผมขอโทษพี่น้องประชาชนที่พวกเราทำตามสัญญาไม่ได้ แต่วันนี้อย่างน้อยที่สุด ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า ในวันที่สังคมไทยมืดมนที่สุด เราได้จุดประกายส่องทาง” นายธนาธรกล่าวต่อผู้สนับสนุนหลังจากที่ได้รู้ผลคำพิพากษา
ยังมีคดีอีกกว่าสองโหล ที่เกี่ยวพันกับ อนค หรือ กรรมการบริหารพรรค หรือสมาชิกพรรค ที่ยังรอการพิจารณาจากศาลอยู่ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้ปลดสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนของนายธนาธร ด้วยการตัดสินว่าเขาได้ละเมิดกฎหมายเลือกตั้งด้วยการถือหุ้นในบริษัทสื่อสาร เพื่อที่จะผลักดันคำพิพากษานี้ออกมา ศาลฯได้ละเลยเฉยเมินต่อหลักฐานว่านิติกรรมกับบริษัทนั้นเป็นโมฆะ เพราะนายธนาธรขายหุ้นที่ถือของบริษัทไปหมดแล้ว แถมบริษัทนั้นก็ปิดกิจการไปนานแล้ว แม้แต่เมื่อบริษัทยังดำเนินการก่อนปิด ก็เพียงแค่ผลิตนิตยสารแจกฟรีให้ผู้โดยสารเครื่องบินลดราคาอ่านฆ่าเวลา ไม่ใช่สิ่งตีพิมพ์จำหน่ายทั่วไป ที่มีผลอิทธิพลต่อผู้อ่าน อันคงเป็นสิ่งที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไว้เพื่อป้องกันเศรษฐีเจ้าของสื่อมวลชน มิให้เข้ามาใช้อิทธิพลมาลงเล่นการเมือง
การประดังโจมตีพรรค อนค ทางกฎหมาย เริ่มมีวี่แววตั้งแต่ทางพรรคเริ่มแสดงให้เห็นถึงแรงความเป็นที่นิยม เมื่อเริ่มฤดูเลือกตั้ง หลังจากเพิ่งเริ่มตั้งพรรค ในปี พศ ๒๕๖๑ พรรคน้องใหม่นี้สามารถกวาดเสียงถึงหนึ่งในสามของทั้งประเทศ เป็นที่นิยมโดยเฉพาะหมู่คนหนุ่มสาว นโยบายพื้นฐานของพรรค มีการปฏิรูปกองทัพ กระจายอำนาจการปกครอง และจัดการควบคุมการผูกขาดทางธุรกิจ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบในหมู่คนทั่วไป นายธนาธร แต่แรกจึงเล็งโอกาสที่จะได้เป็นนายกฯ แต่ ประยุทธ จันทร์โอชา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ผู้ยึดกุมอำนาจด้วยรัฐประหารเมื่อเกือบหกปีที่แล้ว ยึดรั้งเก้าอี้ไว้ได้ ด้วยการสนับสนุนจากพรรคการเมืองโปรทหาร กองทัพบกก็ได้ร่วมกันทำงานอย่างสุดกำลัง เพื่อประกันว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะถูกกุมให้อยู่ภายใต้สภาพที่จะอำนวยชัยชนะมาให้กับพรรคที่หนุนกองทัพ แม้แต่กระนั้น มันก็แค่ช่วยให้ได้เสียงส่วนมากอย่างเฉียดฉิว โดยมีคณะกรรมการการเลือกตั้งโยนไพ่เปลี่ยนกฎช่วยในนาทีสุดท้าย อนค ดูจะสร้างความสะท้านหวั่นใจให้เหล่าขุนพลนายทัพ
ในตอนนี้ สส พรรค อนค กว่า ๖๐ คนก็ต้องหาพรรคสังกัดใหม่ ซึ่งพวกเขาแถลงว่าจะจัดการภายในอาทิตย์หน้านี้ นายธนาธร ได้แสดงความมั่นใจไว้ว่า ไม่มี สส ของพรรคคนไหน จะไปร่วมมือกับพรรคแนวร่วมเหลาะแหละที่หนุนรัฐบาล อย่างไรก็ดี การโดนยุบไปของพรรค จะตกผลประโยชน์เสริมกำลังให้ฐานะของ นายประยุทธ ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจ ที่มีการเติบโตเชื่องช้าที่สุดมาห้าปีแล้ว ได้บั่นทอนสถานะอันง่อนแง่นของเขาอยู่แล้ว แนวร่วมของ อนค กับ พรรคฝ่ายค้านอื่นๆได้ยืดเยื้อการผ่านกฎหมายใช้บังคับของรัฐบาล การยืดเยื้อยาวนานทำให้อะไรผ่านได้ช้าลง ตัวอย่างเช่น งบประมานแผ่นดิน เพิ่งจะผ่านได้เดือนนี้เอง
ประเทศไทยมีประวัติการใช้อำนาจผิดๆแบบนี้มาแล้ว ตั้งแต่ปี พศ ๒๕๔๙ ศาลรัฐธรรมนูญได้งดการรับรองการเลือกตั้งมาสองครั้ง และยุบพรรคไปแล้วแปดพรรค แต่จนบัดนี้ พรรคที่เป็นเป้าถูกกระทำ ต่างมีส่วนผูกพันกับ ทักษิน ชินวัตร มหาเศรษฐีเทเลคอม ที่รัฐบาลของเขาถูกโค่นไปด้วยรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ จุดประกายความขัดแย้งระหว่างพวก “เสื้อแดง” ที่โปรทักษิน กับพวก “เสื้อเหลือง” ที่เป็นฝ่ายโปรเจ้า โปรทหาร ที่ได้ครอบงำภาวะทางการเมืองของไทยตั้งแต่นั้นมา การยุบพรรคอนาคตใหม่ คงจะไม่ได้จุดชนวนให้คนออกมาเดินถนนประท้วง ที่ได้สะเทือนแผ่นดินไทยทุกครั้งที่ทางการเอาเรื่องกับนายทักษิน ธิติพล ภักดีวานิช แห่งมหาวิทยาลัยอุบลรัตน์ ราชธานี ชี้ให้เห็นว่า การเดินประท้วงที่ผ่านมาส่วนใหญ่ มาจากประชาชนคนยากไร้จากต่างจังหวัด อนค มิได้มีเวลาเพียงพอที่จะสร้างฐานรากหญ้าได้หนาแน่นไปได้ทั่วประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น ฐานสนับสนุนในเมืองของพรรค อาจจะต้องระวังเนื้อระวังตัวไม่ออกมาเดินประท้วงกัน มีแต่โพสต์บ่นไปในโซเชียลมีเดียเสียแทน
แต่นั่นก็ให้นัยยะแล้วว่า การยุบพรรคอนาคตใหม่ เป็นการสูญเปล่า อนค ไม่ใช่แดงหรือเหลืองอย่างชัดๆ จึงเป็นตัวผ่อนคลายความเครียดจากความขัดแย้งของสองสี การที่ใช้ สีส้ม ที่จริงแล้วเหมือนจะย้ำทางเลือกที่สาม ที่ดึงดูดทั้งสองฝ่ายสองสี เมื่อมาโดนยุบไปเสีย ฝ่ายปกครองไทยได้พิสูจน์ให้ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า พวกเขาไม่ได้มีเจตนานำความสงบกลับมา หรือชะลอการงัดข้อกันทางการเมืองอย่างที่อ้างตัวอยู่บ่อยๆ แต่ต้องการที่จะบริหารประเทศแบบไม่มีฝ่ายค้าน นายประยุทธก็ได้มีโอกาสทำอย่างนั้นอยู่ห้าปีมาแล้วในฐานะผู้นำการรัฐประหารปกครองประเทศแต่ผู้เดียว ซึ่งก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่า มิได้ทำให้เกิดดอกออกผลให้บ้านเมืองเจริญอะไรขึ้นมาเลย