วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 20, 2563

‘ชาญวิทย์’ วิเคราะห์ 3 ความเป็นไปได้หาก ‘อนาคตใหม่’ ถูกยุบ - หวังจบแบบ win-win ไม่นองเลือด ไม่พังกันไปหมด




‘ชาญวิทย์’ วิเคราะห์ 3 ความเป็นไปได้หาก ‘อนาคตใหม่’ ถูกยุบ - หวังจบแบบ win-win ไม่นองเลือด ไม่พังกันไปหมด เตือนประเทศไม่ได้อยู่ในยุคสงครามเย็น ไม่มีมหาอำนาจหนุนเสนาอำมาตย์สุดลิ่มอย่างในอดีตแล้ว - มองจุดแข็งจุดอ่อน ‘อนค.’ อายุน้อย ประสบการณ์ยังไม่พอ แต่ดูดีสุดในบรรดาพรรคการเมืองที่มี - เทียบ ‘เสรีมนังคศิลา’ กับ ‘พลังประชารัฐ’ พรรคเฉพาะกิจ มาชั่วคราวหนุนผู้มีอำนาจตั้งรัฐบาล - เผยเคยโหวต ‘พรรคเก่าแก่’ มาเกือบตลอดชีวิต เพิ่งเปลี่ยนปี 54 ให้คะแนนเพื่อไทย ‘ปู’ เป็นนายกฯ - ทวนประวัติศาสตร์ในรอบ 10 กว่าปี ยุบกี่พรรค ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ ก็ไม่ได้หายไป - ตอบปมกดดันศาลหรือไม่ ประชาชนอาจมองได้ทั้ง 2 ทาง

อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วัย 79 ปี สมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ผู้รณรงค์คัดค้านการยุบพรรคการเมือง โดยระบุว่าคัดค้านการยุบทุกพรรคไม่เฉพาะอนาคตใหม่เท่านั้น

ให้สัมภาษณ์ถึงหลักการและความสัมพันธ์ส่วนตัว เหตุผลที่นำมาสู่การรณรงค์คัดค้านยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในวันที่ 21 ก.พ.63

-หาก ‘อนาคตใหม่’ ถูกยุบก็ตั้งพรรคใหม่ได้ แต่อาจารย์มองว่าการรณรงค์คัดค้านยุบอนาคตใหม่ มีความสำคัญอย่างไร
คือโดยหลักการ ผมคิดว่าพรรคการเมืองไม่ควรถูกยุบ เพราะว่ามันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตย

ถ้าคนทำผิดก็ไปยุบที่คน ไปทำต่อตัวนักการเมือง ไม่ใช่ไปยุบพรรคเขา เพราะฉะนั้น ทำไมประชาธิปไตยของไทยถึงไม่พัฒนาก็เพราะว่ามีการยุบพรรคมาตลอดเวลา ตั้งแต่หลังปฏิวัติ 2475

ครั้งแรกก็มีการยุบพรรคคณะราษฎรในปี 2476 อันนั้นเป็นพรรคแรกเลยนะครับ แล้วหลังจากนั้นก็มียุบมาเรื่อยๆ อาจจะยุบไปโดยไม่ได้มีปัญหาทางการเมืองแต่ว่าพรรคอยู่ไม่ได้ก็ถูกยุบไปทำนองนั้น รวมแล้วประมาณ 370 กว่าพรรค

พรรคสุดท้ายที่เรารู้ดีก็เมื่อปีที่แล้ว คือยุบพรรคไทยรักษาชาติเป็นการยุบล่าสุด

พฤติกรรมอันนี้ของรัฐไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นรัฐที่เราเรียกว่ารัฐข้าราชการเสนาอำมาตย์ที่คุมการเมืองอยู่ทำให้ระบบพรรคการเมืองของไทยอ่อนแอมากๆ
ถึงแม้ว่าเราจะมีวิวัฒนาการมายาวนานกว่าหลายๆ ประเทศในภูมิภาคอาเซียนหรืออุษาคเนย์ก็ตาม พรรคการเมืองของเราก็ดูอ่อนแอมากๆ นะครับ

มีพรรคเดียวที่อยู่มายาวก็คือพรรคประชาธิปัตย์ แต่พรรคอื่นๆ ก็ไม่สามารถจะอยู่ได้

พรรคที่เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้ที่จะมีอำนาจจะตั้งรัฐบาลได้ก็เป็นพรรคชั่วคราว เราเห็นมาตลอด ตั้งแต่พรรคเสรีมนังคศิลา จนกระทั่งปัจจุบันก็พรรคพลังประชารัฐ

ผมก็ว่าเรียกว่าเป็นพรรคเฉพาะกิจ เพราะฉะนั้น พรรคการเมืองที่จะมีลักษณะพรรคการเมืองจริงๆ ในระบอบประชาธิปไตยมันก็เกิดขึ้นไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก

โดยหลักการผมจึงไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคการเมืองไม่เฉพาะพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่การจะยุบพรรคไหนก็ตามผมไม่เห็นด้วย

ในการลงชื่อ ผมก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับหน่วยงานไหน ผมคิดว่าเมื่ออายุเราถึงขนาดนี้แล้วเราจะเป็นไทยเฉย ไทยเฉื่อย ไทยมุง ไทยดู มันก็ไม่ควรนะครับ

ผมเห็นว่ากลุ่มนักการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ดูเข้าท่าในแง่ของความคิดความอ่านเป็นคนรุ่นใหม่ อายุยังไม่มาก แล้วโดยส่วนตัวบางคนก็เป็นลูกศิษย์ลูกหาของผม ฉะนั้นโดยหลักการเห็นด้วย และโดยส่วนตัวก็ยิ่งทำให้อยากจะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ครับ

-การรณรงค์ครั้งนี้มีฝ่ายที่มองว่าจะเป็นการกดดันศาลหรือไม่ อาจารย์มองเรื่องนี้อย่างไร

เขาจะมองอย่างนั้นก็ได้ แต่ผมคิดว่าในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น

แล้วในแง่หลักการของศาล ศาลก็คงจะต้องพิจารณาไปตามรูปแบบของคดีนะครับ คือถ้าเราจะบอกว่าเป็นการกดดันศาล ก็จะมองอย่างนั้นก็ได้

แต่ว่าศาลที่เราเห็นมาในปัจจุบันนี้ในเมืองไทยก็เป็นศาลซึ่งผู้คนจำนวนไม่น้อยมีความสงสัยกังขาว่ามีใบสั่งหรือเปล่า? จึงมองได้ทั้ง 2 ทางครับ

-พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคใหม่ อาจจะมีปัญหาวุฒิภาวะหรือประสบการณ์บ้าง อาจารย์ให้คะแนนพรรคอนาคตใหม่อย่างไร

ก็ดูดีกว่าที่เรามีอยู่ในปัจจุบันนะครับโดยเปรียบเทียบ(หัวเราะ)ผมว่าเขากล้าพูดกล้าทำกล้าคิด

แล้วผมก็ค่อนข้างประหลาดใจนะ เพราะเมื่อผมไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่เมื่อ 2 ปีมาแล้วคือปี 2561 ผมไปสมัคร ก็ไม่คิดว่าพรรคนี้จะมีบทบาทมากมายอะไรตอนนั้น

คิดว่าเขาคงได้ที่นั่งไม่กี่ที่ แต่เมื่อมันเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเยอะแยะและความพิกลพิการของรัฐธรรมนูญฉบับที่เราใช้อยู่ มันก็เลยทำให้พรรคนี้กลายเป็นพรรคที่มีคะแนนเสียงมากปู๊ดป๊าดขึ้นมาเลย นี่ก็เป็นความประหลาดใจนะ

ตอนลูกศิษย์ลูกหามาชวนไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ โดยส่วนตัวผมก็ไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เคยแต่สนับสนุนพรรคการเมือง

ผมและครอบครัวผมก็เป็นชนชั้นกลางอยู่ในกรุงเทพฯ มันก็หนีไม่พ้นเราก็สนับสนุนพรรคนั้น ‘พรรคที่เก่าแก่ที่สุด’ เป็นเวลาหลาย 10 ปีเกือบจะชั่วชีวิตนี้ที่ลงคะแนนเสียงโหวตให้กับพรรคนั้นมาโดยตลอด

มาเปลี่ยนใจเอาตอนหลังตอนบั้นปลาย คือการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ที่ทำให้คุณยิ่งลักษณ์มาเป็นนายกฯ เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ได้โหวตให้กับพรรคเก่าแก่ แต่โหวตให้กับพรรคเพื่อไทย แล้วพอมาการเลือกตั้งครั้งล่าสุดก็ต้องบอกว่า โหวตให้กับพรรคอนาคตใหม่เพราะเราเห็นว่าเป็นของใหม่
แล้วน่าสนับสนุนครับ

-จุดแข็งจุดอ่อนของพรรคอนาคตใหม่

จุดแข็งของเค้าก็คือเค้าเป็นคนรุ่นใหม่ อายุน้อยยังมีเวลาอีกเยอะ แล้วก็มีความคิดความอ่านอะไรซึ่งทันสมัย ถ้าเราดูจากตัวผู้นำซึ่งเขาชูผู้นำของเขา 3 คน คือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ,ปิยบุตร แสงกนกกุล,พรรณิการ์ วานิช 1

3 คนนี้ ถ้าพูดภาษาโบราณก็คือ ออกงานแล้วไม่ขายหน้า ผมคิดว่าแต่งองค์ทรงเครื่องแล้วไปออกเวทีระหว่างประเทศก็น่าจะกลมกลืนกับผู้นำในโลกที่มันพัฒนาแล้ว นี่คือจุดแข็งของเค้า

แน่นอนล่ะเค้าก็คงมีจุดอ่อนมากมาย เป็นธรรมดาของคนที่ประสบการณ์ทางการเมืองยังไม่พอ แต่ผมอยากจะเชื่อว่า กรณีของคุณธนาธร ประสบการณ์ชีวิตน่าจะมากมหาศาลในแง่ของการเป็น
นักศึกษาที่ทำกิจกรรมเป็นนักศึกษาซึ่งเรียนทั้งธรรมศาสตร์ ทั้งจุฬาฯ เรียนทั้งต่างประเทศ

ผมคิดว่าประสบการณ์ชีวิตที่ไม่ใช่ประสบการณ์ทางการเมือง น่าจะล้ำกว่าคนส่วนใหญ่ในระดับของคนที่มีฐานะ

ผมคิดว่าเค้าล้ำหน้ามากๆ การเสนอตัวของเค้า การแสดงออกของเค้า กิริยามารยาท การพูดการจาการแต่งตัว ผมว่ามันไปได้ ไม่ขายขี้หน้า

-สำหรับฝ่ายที่ต้องการยุบพรรคอนาคตใหม่ อาจารย์อยากจะบอกเขาว่าราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการยุบพรรคหลังจากนี้คืออะไร

การยุบพรรคการเมืองในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา มันไม่ได้แก้ปัญหานะ ผมคิดว่าในกรณีที่เราเห็น เช่น ยุบแล้วคุณทักษิณหายไปเหรอ ยุบแล้วคุณยิ่งลักษณ์หายไปเหรอ มันก็ไม่ใช่

ผมคิดว่าเขาก็ยังอยู่ แล้วโลกปัจจุบันเป็นโลกที่มีเทคโนโลยีอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน มีโซเชียลมีเดีย มีมือถือ ผมว่าการยุบไม่ได้แก้ปัญหาเลย

มันเหมือนกับว่า เมืองไทยเกิดปัญหา เราก็ยึดอำนาจรัฐประหารกันทีนึง ฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญแล้วเขียนใหม่ ผมว่าครั้งหลังการยึดอำนาจ 2549 กับการยึดอำนาจรัฐประหาร 2557 มันไม่ได้แก้ปัญหานะ

มันอาจจะไปหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงได้ในระยะเวลาหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมคิดว่าทำไม่ได้ ปัญหามันก็จะหมักหมมอยู่ตลอดเวลา

แล้วคนที่ขึ้นมาทำงานบริหารเป็นรัฐบาล มาคุมทั้งนิติบัญญัติ คุมทั้งบริหาร คุมทั้งตุลาการ ก็เป็นคนซึ่งผมมองว่าตกยุคไปแล้ว

คุณนั่งฝันว่าคุณจะได้คนอย่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่มีแล้วครับ เพราะการเมืองไทยภายในมันเปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนทั้งในแง่ของประชาชน เปลี่ยนทั้งในระดับสูง คือผลัดแผ่นดินแล้ว

ในขณะเดียวกัน ในแง่ของการเมืองระหว่างประเทศ เราดูเหมือนว่า จะมีจีน ซึ่งเป็นมหาอำนาจอันดับ 2 มาสนับสนุน แต่ผมอยากเชื่อว่า จีนเล่นกับทุกฝ่าย

ผมอยากจะเชื่อว่าใครชนะจีนก็เอาด้วย เพราะฉะนั้น เวลาคุณทักษิณ คุณยิ่งลักษณ์ไปเมืองจีน โอ้โห ต้อนรับกันอย่างกับเป็นผู้นำ ตัวแทนของประเทศไทยอะไรทำนองนั้น

ซึ่งผมมองว่าคนที่หวังว่าจีนจะสนับสนุนเราอย่างเต็มที่นั้น ผมว่า เป็นความฝันที่เลื่อนลอย ผมคิดว่าจีนนั้นมองผลประโยชน์มากมหาศาล

บางคนบอกว่า จีนนั้นไม่มีแล้วทั้งคุณธรรมแบบขงจื๊อ ไม่มีทั้งอุดมการณ์แบบเหมาเจ๋อตุง มันหมดไปแล้ว จีนก็ make money ใช้ money อะไรทำนองนั้น

ส่วนในอดีตรัฐบาลไทยอย่างรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็ดี ถนอม กิตติขจรก็ดี หรือว่ารัฐบาลทหารหลายชุดก็ดี ได้รับความสนับสนุนจากอเมริกา ผมว่าตอนนี้อเมริกาก็ไปอีกระดับหนึ่งแล้ว
ในแง่นี้ ไทยไม่น่าจะสำคัญเท่ากับในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยสงครามเย็น

ฉะนั้น แปลว่า รัฐบาลไทยจะเข้มแข็งอยู่เพราะว่ามีมหาอำนาจสนับสนุนอย่างเต็มที่ประเภทสุดลิ่มทิ่มประตูอย่างในอดีตมันไม่มีแล้วครับ ผมคิดว่าเราต้องช่วยตัวเองมากๆ เลย

-หากพรรคที่มีอุดมการณ์อย่างหนึ่งถูกยุบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะชื่อพรรคอะไร จะนำไปสู่ความเสี่ยงที่จะเกิดสถานการณ์ความรุนแรงหรือไม่

ถ้าเราดูช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งในเมืองไทยนั้นมันมีสูงมาก มันแบ่งชัดเจนมาก ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะต้องมาพูดให้มันชัดในระดับนี้ เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยคิดมากแล้ว คิดอะไรก็พูดไป เพราะเห็นสภาพบ้านเมืองแล้ว บางทีเราก็ต้องพูดออกมาตรงๆ

ผมคิดว่าตอนนี้ คนก็ไม่ได้ปิดกันแล้วว่าตัวเองยืนอยู่ตรงไหน หรือเหนียมอายน้อยลง

เพราะฉะนั้น ความขัดแย้ง หรือความแตกแยกทางความคิด พฤติกรรม อาจจะทำให้ในที่สุด ออกมา 2-3 ทาง คือ

1) เมื่อยุบแล้วก็แล้วไป มันก็เป็นอย่างนี้ตั้ง 70-80 ปีมาแล้ว ยุบไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

2)เขาก็จะรู้ว่า ถ้าเล่นเกมแบบนี้ก็คงพังกันไปทั้งหมด ดังนั้น ก็อาจจะต้องหันหน้ามาไกล่เกลี่ย ประนีประนอมกัน มีสติปัญญาหาทางออกที่ win-win ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่งั้นจะพังกันหมด
ฉะนั้น ต้องเกี้ยเซี๊ยกัน ต้องยอมกันบ้าง แล้วอยู่กันอย่างสันติ และผมก็อยากให้ออกมาอย่างนี้

3)การยุบครั้งนี้ถ้าเกิดขึ้น มันอาจจะไม่เหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว คือผมคิดว่ามีสิทธิ์ที่จะเกิดความปั่นป่วน มีสิทธิ์ที่จะนำไปสู่การใช้ความรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง แล้วผมก็มองว่า ถ้ามันเกิดสถานการณ์ที่เลือดตกยางออก มันก็อาจจะบานปลายไปสู่การเปลี่ยนอะไรหลายอย่างเลยในเมืองไทย อย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้นะ โดยมากผมมักจะนึกถึงเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาที่พูดถึงว่า เมื่อถึงยุคหนึ่ง มันก็จะกลายเป็นกลียุค คือพังพินาศ แล้วก็เริ่มต้นกันใหม่

นี่คือประตูที่ 3 ที่อาจจะเป็นไปได้ ผมคิดว่ามีโอกาสที่น้ำผึ้งหยดเดียวจะทำให้ลุกลามใหญ่โตอะไรทำนองนั้น

ผมจึงมองว่ามี 3 ประตู

(สัมภาษณ์โดย ฟ้ารุ่ง ศรีขาว)