ต้องมีอะไรผิดปกติในวิธีคิดของรัฐบาลชุดนี้อยู่แน่ๆ ครับ
โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารเศรษฐกิจ
...
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่งออกมาแถลงว่า
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 1.3
ซึ่งถือเป็นอัคราการขยายตัวที่”ต่ำมาก”
ยกเว้นปีที่วิกฤติอย่างรุนแรง เช่นต้มยำกุ้งเมื่อ 2540(ที่เศรษฐกิจติดลบไปร้อยละ 7.6)
หรือการประสบภัยธรรมชาติรุนแรง อย่างเช่นน้ำท่วมใหญ่ปี 2554
และปีที่มีการรัฐประหาร ที่ทุกอย่างหดจุนจู๋อย่าง 2557
ไม่มีปีไหนที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตในระดับที่ต่ำกว่าหรือใกล้เคียงร้อยละ 1
แต่ 2563 กำลังจะสร้างปรากฎการณ์ที่ว่า
และต้องไม่ลืมด้วยว่า การคาดคะเนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้นมักจะผิดเสมอ
โดยเฉพาะในช่วงที่มีปัญหา
เพราะผลที่แท้จริงจะออกมาต่ำกว่าที่ประมาณการไว้แทบทุกครั้งไป
ตัวอย่างล่าสุดก็คือปี 2562 ที่เพิ่งผ่านมา
ตอนต้นปี หน่วยงานรัฐทั้งหลายพยากรณ์(เหมือนเอาใจรัฐบาล)ว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ร้อยละ 4
ก่อนที่จะค่อยๆ ปรับลดเป้าหมายลงมาเหลือร้อยละ 3.8 แล้วเป็น 3.5 ก่อนลงต่อมาอีกเป็น 3.2 และ 3
แต่จบจริงๆ น่าจะอยู่ประมาณร้อยละ 2.8 เท่านั้น
แล้วปีนี้เริ่มต้นที่ 1.3
ถามว่าจะไปจบตรงไหน
...
เหมือนที่มีท่านผู้รู้เตือนเอาไว้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
ว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยสาหัสแน่
ไหนจะปัญหาค่าเงินบาท(ซึ่งถึงจะอ่อนตัวมาบ้าง ก็ยังไม่พอ)
ที่ต่อเนื่องมาถึงปัญหาการส่งออก การท่องเที่ยว
ก่อนจะถูกภัยแล้งตามขยี้
ตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเกิดปัญหาไวรัสโคโรน่าเข้ามาขย้ำซ้ำ
ให้การท่องเที่ยวตายสนิท
และการส่งออกยิ่งสาหัสกว่าเดิม
(ก่อนไวรัสจะระบาด ก็มีการคาดการณ์ปริมาณส่งออกข้าวของไทยในปีนี้แล้ว ว่าจะต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี)
แต่ปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมเหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะบ่นด่าว่าใครก็ไม่ได้ และไม่มีประโยชน์
ได้แต่ก้มหน้ารับมือกันไปให้เต็มกำลัง และสติปัญญา ความสามารถ
เผื่อจะผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง
...
แล้วอะไรที่จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้
อย่างน้อยก็ต้องสองประการด้วยกัน
ข้อแรก คือต้องอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าระบบ(หมายเหตุว่า ต้องอัดฉีดให้ถูกเรื่อง ถูกที่ด้วย)
และข้อสอง คือต้องมีนโยบายที่ถูกต้อง
...
ว่าด่วยเรื่องอัดฉีดเงินก่อน
หลักการง่ายๆ มีอยู่ว่า ในยามที่ประเทศฝืดเคือง ประชาชนยากจน
คนที่มีกำลังพยุงเศรษฐกิจได้มากที่สุดก็คือรัฐ หรือรัฐบาล
ตามสูตร”รัฐจน ประชาชนรวย”(แต่ถ้าประขาชนรวยจริง สุดท้ายรัฐก็จะรวยไปด้วย เพราะเก็บภาษีและรายได้อื่นได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย)
ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลชุดก่อน(ก็คนกลุ่มเดียวกันกับชุดนี้)พยายามทำมาตลอด 5 ปี
แต่น่าเสียดายที่การอัดฉีดเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
และเน้นไปที่การกระตุ้นการบริโภค(ซึ่งอยู่ปลายทาง)เป็นหลัก
โดนหวัง(หรือฝัน)เอาว่า เมื่อคนออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น
ภาคการผลิต ภาคบริการก็จะฟื้นขึ้นมาได้
ผลเป็นอย่างไรก็เห็นๆ กันอยู่
...
นับรวมๆ กันแล้ว วงเงินที่รัฐบาลก่อนประกาศอัดฉีดใส่ระบบเศรษฐกิจเฉียดๆ 2 ล้านล้านบาท
เศรษฐกิจบางส่วนโตขึ้นมาจริง แต่ซีกที่โตนั้นไปตกอยู่กับเศรษฐีมหาเศรษฐีเป็นส่วนใหญ่
ถ่างให้ความเหลื่อมล้ำกว้างขึ้นอีก
คำถามคือ ถ้าอัดฉีดแบบเดิมไม่ได้ผล หรือยิ่งทำให้ปัญหาหนักข้อขึ้น
แล้วจะฉีดแบบไหน
คำตอบง่ายๆ ก็คือฉีดไปที่การเพิ่มรายได้
ฉีดไปที่รากหญ้า ฉีดไปที่เกษตรกร ฉีดไปที่คนมีรายได้น้อยโดยตรง
จะจ้างให้เลิกผลิตสินค้าเกษตรตัวไหนที่ไม่มีอนาคต
เพื่อจะปรับโครงสร้างภาคเกษตรใหม่
ทำเลย
จะจ้างให้คนในภาคเกษตรที่ว่างงานจากการประสบปัญหาภัยแล้ง เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเรื่องแหล่งกักเก็บน้ำ
เพื่อปีหน้าปีต่อๆ ไป จะได้ไม่กลับมาเผชิญหน้ากับปัญหาซ้ำซาก
จ้างเลย
จะเพิ่มเงินอุดหนุนให้คนจนเมือง สร้างงาน สร้างรายได้ให้คนตัวเล็กตัวน้อย
เอาเลย
ฯลฯ
ทำให้รากหญ้าลืมตาอ้าปากได้ เศรษฐกิจไทยยังพอมีทางรอด
เพราะต้องมีสตางค์ก่อน คนถึงจะออกไปจับจ่าย
ไม่ใช่กลับหัวตีลังกา กวักมือเรียกให้คนออกมาใช้จ่าย ทั้งที่ไม่มีสตางค์แดงเดียวในกระเป๋า
อย่างนั้นทำให้ตายก็ไม่ฟื้น
มีแต่จะยิ่งเฉาลงไป และลากกันไปตายทั้งหมด-ไม่ว่ามหาเศรษฐีหรือยาจก-ในไม่ช้า
...
ข้อต่อมา อะไรคือนโยบายที่ถูกต้อง
แจกเงินให้ถูกต้อง ถูกคน ถูกเรื่อง นั่นแค่ส่วนเดียว
เบื้องต้นก่อนจะไปถึงตรงนั้น ต้อง”ยอมรับความตริง”กันเสียก่อน
ว่าที่กำลังเผชิญหน้าอยู่นี้คือวิกฤต
ต้องรับมือแบบการเผชิญหน้ากับวิกฤต
ไม่ใช่ชิลชิล ปลอบใจกันไปวันๆ
ต้องประกาศกันให้รู้ทั่วว่า ถ้าไม่จัดการอะไรให้ถูกต้อง
ประเทศนี้สังคมนี้กำลังเดินหน้าไปสู่หายนะ
ต้องร่วมกันปรพฤติในสิ่งที่ควรประพฤติ เว้นในสิ่งที่ควรเว้น
โดยมีรัฐบาลเป็นตัวอย่างก่อน
อะไรที่ประหยัดมัธยัสถ์ได้ ต้องทำให้เห็น
เมื่อเงินทองมีน้อย ต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุด อะไรไม่ใช่ความจำเป็นจะต้องซื้อ
อย่าซื้อ
ผู้มีอำนาจตามใจปากตัวเองเมื่อไหร่ ชาวบ้านก็อิ๊บอ๋ายเมื่อนั้น
อะไรที่ต้องเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะการเพิ่มรายได้ให้คนส่วนใหญ่ ต้องทำทันที
ที่คุยนักคุยหนาว่าการก่อหนี้ภาครัฐยังไม่สูงเท่าไหร่ ไม่อันตราย
หนนี้จะได้พิสูจน์กัน
...
ที่เขียนมายาวยืดนี้
เพราะไปเห็นข่าวว่า อีกไม่ช้าโครงการชิม ช็อป ใช้ งวด 4 จะออกมาแล้ว
แถมรัฐบาลยังใจดี จะให้หยุดสงกรานต์ยาวติดต่อกัน 9 วัน
รู้สองข่าวนี้พร้อมกัน ตีนก็ขึ้นมาก่ายหน้าผากทันที
ก็นโยบายที่มันทำแล้วไม่ได้ผล ใช้เงินเป็นเบี้ยหัวแหลกหัวแตก
แล้วยังทำซ้ำอีก
ถามว่าผลจะออกมาต่างจากเดิมหรือ
ไอ้หยุดยาว 9 วัน 10 วันนั่นก็เหมือนกัน
ประเทศจนกรอบ คนแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ
ผ่ายุยงให้ทำตัวเป็นจักจั่น ตับระบำรำฟ้อนไปเรื่อยในฤดูร้อน
เพื่อจะไปอดตายในฤดูหนาว
แทนที่จะส่งเสริมให้เกิดค่านิยมว่าต้องทำงานหนัก ต้องเอาจริง ต้องอึดและอดทน
ถึงจะทะลุออกจากหลุมดำไปได้
มันผิดฝาผิดตัว กลับหัวกลับหางไปทั้งหมดอย่างนี้
แล้วยังจะมีหวังอะไร
เอวัง
...
Thakoon Boonparn
https://www.facebook.com/thakoon.boonparn/posts/10213593719791903