วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 16, 2563

“พอกันทีกับการกดทับเสียงของความเปลี่ยนแปลง" ภาคประชากรธิปไตย ‘ปฏิรูปกองทัพ’ ไม่ไว้วางใจรัฐบาลตู่


ถ้าเป็นทหารเขาเรียกว่า ยุทธการอันมีทั้งทางรับและเชิงรุก แต่ในฟากประชาธิปไตย ไม่รอแบบก้าวต่อไปข้างหน้าเสมอๆ ก็ต้องเรียกว่า ธรวิธี (อ่าน ทะ-ระ-วิ-ที แปลไทยเป็นไทยได้ว่า ทรงไว้ซึ่งกลไก) ใช้บรรยายภาวะการเมืองขณะนี้

ขณะที่คาดว่า จะมีการสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ในการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ช่วงชิงตัดหน้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี รองฯ และรัฐมนตรีรวม ๖ คน โดยกลุ่มพรรคฝ่ายค้าน อันมีอนาคตใหม่เป็นหนึ่งในนั้น

ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะ การตั้งรับในเชิงรุกของพรรคอนาคตใหม่ในฐานะที่พรรคนี้เป็นเป้าหมายของฝ่ายสนับสนุนการสืบทอดอำนาจรัฐประหาร อันมีศูนย์กลางอยู่ที่รัฐบาล เฮงซวยซึ่งทำอะไรและไม่ทำอะไรให้ได้เรื่องสักอย่าง ภายใต้นายกฯ ประยุทธ์ จันทร์ไร้ (แสง)

การตั้งรับอย่างหนึ่งต่อการรุกของฝ่ายกำอำนาจ คือการรณรงค์ทาง change.org #คัดค้านการยุบอนาคตใหม่ ซึ่งขณะเขียนนี้มีผู้ร่วมลงนามแล้ว ๒๘,๐๐๐ กว่า และเพิ่มขึ้นทุกๆ นาฑี โดยมีผู้ที่มีคนติดตามความเห็นทางประชาธิปไตยจำนวนมากร่วมกับ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

เปิดแคมเปญเมื่อ ๑๕ กุมภาพันธ์ด้วยจุดหมาย “พอกันทีกับการกดทับเสียงของความเปลี่ยนแปลง อำนาจการตัดสินปัจจุบันและอนาคตต้องอยู่ในมือประชาชนอย่างเรา ไม่ใช่อยู่ที่คนเพียงหยิบมือ” ด้วยเห็นว่า “ไม่ควรต้องมีพรรคการเมืองใดต้องถูกยุบ

การยุบพรรคอะไรก็ตามไม่ควรเกิดขึ้น เราต้องปล่อยให้พรรคการเมืองเติบโต พรรคการเมืองจะดีจะชั่วอย่างไรประชาชนจะเป็นคนตัดสินเอง ถ้าประชาชนไม่เลือก วันหนึ่งพรรคนั้นก็อยู่ไม่ได้และก็ยุบหายไปเอง” อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ความเห็น

(https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_275727 และเข้าร่วมลงชื่ออีกได้ที่ http://chng.it/xcHGF548fJ)

มิใยที่พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล สังกัดของประธานสภาฯ ซึ่งกำลังเดินหน้าลงคลอง เพราะไม่เพียงเป็นพรรคการเมืองปฏิกิริยาต่อประชาธิปไตยในอดีต ยังเป็นพรรคเกื้อหนุนการสืบทอดอำนาจของทหารในปัจจุบัน ตั้งท่าคัดค้านการรณรงค์นี้

โดยที่ผู้สนับสนุนการรณรงค์หลายต่อหลายคน น่าจะเป็นลมใต้ปีกให้แก่พรรคของประธานสภาได้ เมื่อไรที่การเมืองไทยสามารถก้าวผ่านการครอบงำของอำนาจเผด็จการ แต่รูปการณ์ขณะนี้ความหวังเช่นนั้นยิ่งริบหรี่ จากการที่โฆษกพรรคพยายามเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยข้ออ้าง เสล่อๆ
 
นายราเมศ รัตนะเชวง ออกโรงแถลงว่าการล่าชื่อค้านยุบพรรคอนาคตใหม่ เป็นการข่มขู่กดดันศาลรัฐธรรมนูญ “ทั้งที่ควรต่อสู้กันด้วยข้อเท็จจริงในคดี” นั้นไม่น่าจะเรียกว่า แกล้งโง่หากแต่เป็นการจงใจบิดเบือนความจริง

ทั้งที่เขารู้กันทั่วแล้วว่าคดีนี้ ทั้ง กกต.ผู้ร้อง และศาลรัฐธรรมนูญผู้วินิจฉัย ต่างเร่งรีบลุกลี้ที่จะตัดสิน เพื่อให้คุณแก่รัฐบาลและให้โทษแก่พรรคการเมืองแนวใหม่รายนี้ แล้วโฆษก ปชป.ยังจะมีหน้าบอกว่า “ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายควรรอผลคำวินิจฉัย” เสียก่อน


ฉะนี้ การที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ยืนหยัดต่อสู้กับการรุกฆาตของเครือข่ายลิ่วล้อเผด็จการเบื้องหลัง หน้ากากกันฝุ่นประชาธิปไตย ในนาม องค์กรอิสระจึงเป็นแบบอย่างธรวิธีตั้งรับเชิงรุก ที่ฟากประชาธิปไตยควรยึดมั่นเป็นหนทางสู้ต่อไปข้างหน้า

หนึ่งนั้นคือการประกาศว่าจะทำการฟ้องร้องกรรมการเลือกตั้งในข้อหา ละเลยปฏิบัติหน้าที่ตามความผิดมาตรา ๑๕๗ แห่งรัฐธรรมนูญซึ่ง คสช.จัดให้ร่างเอง โดยเฉพาะที่วินิจฉัยว่าเงินกู้หัวหน้าให้พรรคยืมใช้ ๑๙๑ ล้านบาท เป็นเงินบริจาค ผิดมาตรา ๖๖

“มันไม่ใช่ มันมีมาตรฐานการบัญชีรองรับอยู่ เรื่องบัญชีมันตรงไปตรงมา ดังนั้นคุณดิ้นตรงนี้ไม่ได้ หรือคุณจะบอกว่า ผมครอบงำพรรคได้อย่างไร ในเมื่อคุณไม่เคยศึกษาเลยว่า พรรคผมทำงานอย่างไร อยู่ๆ มากล่าวหาว่าผมครอบงำพรรค” ธนาธรกล่าวเมื่อ ๑๓ ก.พ.


อีกทั้งต่อการที่เขามุ่งมั่นเดินต่อไม่ยั้ง การ ปฏิรูปกองทัพอย่างจริงจัง “เพราะเราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า...จะปกป้องสิทธิมนุษยชนของทหารชั้นผู้น้อยได้...จะปกป้องภาษีของประชาชน ที่ถูกเอาไปใช้อย่างฟุ่มเฟือยในกองทัพได้”
 
กับที่เขาประกาศลงมือกำกับ ปฏิบัติการพิน้อคคิโอ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ๕ ใน ๖ เป้าหมายของฝ่ายค้าน โดยใช้ ส.ส. ๑๖ คนไล่เบี้ย ๕ ด้านตั้งแต่เศรษฐกิจผิดพลาด เอื้อประโยชน์พวกพ้อง นโยบายเสียหาย ละเมิดสิทธิประชาชน และจริยธรรมเหลวแหลก

ด้วย ธรวิธี ที่ว่าผู้อภิปรายเพียง ๑ คนจะพูดในภาพรวม นอกนั้นอีก ๑๕ คนจะไล่เบี้ยรายประเด็นอย่างไม่ซ้ำกัน มีทั้งเอกสาร หลักฐาน ข้อกฎหมาย หลักนิติรัฐนิติธรรม และ บิลส์แฉความเสียหายต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นจริง

เหล่านี้จะชี้ให้เห็นว่า “พล.อ.ประยุทธ์กำลังพาประเทศไทยไปผิดทาง และคนที่ต้องจ่ายราคาให้การพาประเทศไทยไปผิดทางคือพี่น้องประชาชน” แล้วจะให้รอดูโน่นก่อนนี่ก่อน ซึ่งรัฐบาลสืบทอดเผด็จการจัดให้ อย่างที่พรรค ปชป.ต้องการได้อย่างไร