บ่องตง บรรยากาศตอนนี้เหมือน ๑๔ ตุลา
ต่างแต่ว่าไม่มีสวนจิตรฯ มีแต่ ‘มูนิช’ ก็อยู่ไกล๊ไกล เรื่องรัฐมนตรีด้านได้รอไว้ก่อน ลงถ้าแถว่าติดคุกออสเตรเลียไม่ใช่คุกไทย
ไม่เกี่ยวละก็ กระบวนยุติธรรมไทยล้มเหลวแล้วอย่างสิ้นเชิง
ไอ้วิธีการแถกแบบนี้
แบบที่เฮียหนูเค้าบอกว่าคนที่อัดเทปตอน ‘เซล’
ของภูมิใจไทย จ่ายตลาดกว้านซื้อ ส.ส.อนาคตใหม่ ๒๓-๒๕ ล้าน
แถมแพ็คเกจรถและพ้อคเก็ตมันนี่ย์ ว่าไม่เข้าท่า โตๆ กันแล้ว มารยาทต้องมี “นี่มันพฤติกรรมกุ๊ย”
นั่นเหรอ
ก็แบบเดียวกับนายกฯ
ที่โพทธนาเมียผมเก่งและดี สอนผมเสียอีก
เพียงเพื่อจะปฏิเสธว่าไม่มีเอี่ยวเรื่องประมูล ‘ไบโอเมตริกซ์’ โดยไม่มีหลักฐานใดๆ
มายันเขาได้ เมื่อ ส.ส.เพื่อไทย วิสาร เตชะธีราวัฒน์ อภิปรายพาดพิง น้ำหน้าอย่างนี้จะมีใครเชื่อ
นั่นก็ดันกันไปท่ามกลางฉากล้อม ๓๖๐ องศา
ที่สมาชิกสถานศึกษาต่างๆ เกือบทั่วประเทศ จัดกิจกรรมประณามกระบวน ตลก.
และต่อต้านอำนาจสืบทอดของระบบเผด็จการ กระหึ่มอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนนับแต่ปี ๒๕๑๖
มันเป็นความร่วมใจของคนหนุ่มสาวไม่ว่ารุ่นนักศึกษาหรือว่านักเรียน
ที่พากันออกมาแสดงให้ประจักษ์ว่าพวกเขาไม่ยอมทนกับคนรุ่นหวนหาอดีต ที่เอารัดเอาเปรียบ
(ขอลุงก่อน) บิดเบี้ยวระเบียบกฎหมาย ที่เขียนเอง ผ่านเอง อย่างเอาเปรียบอยู่แล้ว
ที่จุฬาฯ มีเขียนข้อความ ‘กษลรจตกม’ ที่ตีความว่า “เกษียณแล้ว...” ก็ได้ ที่
มธ. มีนักศึกษาอายุ ๒๑ ปีขึ้นปราศรัยว่า “พวกเราไม่ได้ออกมา #saveอนาคตใหม่ แต่มา #saveอนาคตเรา” และที่ศาลายา
ศิษย์เก่าท่านหนึ่งบอกว่า สมัยผมก็ยังไม่มากขนาดนี้
ขอยืมข้อความทวี้ตอย่างเนิบๆ ของ Pravit
Rojanaphruk มาเสริมหน่อยว่า “กงล้อการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนอย่างไม่คาดฝันโดยหนุ่มสาว
อย่างไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่รัฐประหาร ๒๕๔๙ ผมไม่ทราบว่าจะนำสู่อะไร”
หลายคนมีคำตอบ
“แต่แน่ใจว่าเวลาอยู่ข้างคนรุ่นใหม่ที่อายุน้อยกว่าคลื่นลูกเก่า
พวกเขามีเวลา และที่สำคัญพวกเขาตาสว่างแล้ว” บก.ข่าวสดอิงลิชปิดท้าย
ตาสว่างกันแค่ไหนไม่ทราบได้ เห็นแต่รูปนักศึกษา มศว.ชูป้าย “เยอรมันอากาศดีไม๊?”
พวกเขาคงคิดถึงความกดอากาศ
ที่ดันเอาฝุ่นพีเอ็ม ๒.๕ จากท้องฟ้าลงสู่ยอดหญ้า จากระดับอุดมศึกษาสู่มัธยม
มันแผ่กระจายไปในแนวราบประดุจดังหมอกควันจากน้ำแข็งแห้ง #สว.ที่อยู่ข้างประชาธิปไตย โผล่แล้ว #เกียมอุดมไม่ก้มหัวให้เผด็จการ กำลังสยาย
นักเรียนสตรีวิทยาราว ๓๐
กว่าคนไม่สามารถรวมตัวแสดงความเห็นภายในรั้วรอบขอบชิดของสถานศึกษาได้
จึงพากันออกมายกป้ายหน้าโรงเรียน แล้วเคลื่อนต่อไปยังอนุสาวรีย์ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ “เราไม่ต้องการอยู่ข้างอนุสาวรีย์ซึ่งเป็นแค่ที่วนรถ
เราต้องการให้มันมีความหมายจริงๆ
เราต้องการอยู่ข้างประชาธิปไตยทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และอุดมการณ์”
นักเรียนที่ร่วมกิจกรรมคนหนึ่งกล่าวสะท้อนข้อความบนแผ่นป้ายขนาดใหญ่ “ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า
ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร”
ส่วนที่พญาไท “ตำรวจปิดกั้นและล้อมประตูทางเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ทำให้ศิษย์เก่าหลายคนไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรม #เกียมอุดมไม่ก้มหัวให้เผด็จการ ได้”
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงาน “มีการพยายามขอตรวจบัตร ปชช. และนำรถ ตร.มาจอดที่ทำกิจกรรม”
ทางด้านมติชนรายงานด้วยเหมือนกันว่า
มีตัวแทนนักเรียนขึ้นกล่าวปราศรัยบริเวณลานหม่อมหลวงปิ่น ตอนหนึ่งว่า “ขอยืนยันว่า
พวกตนมีเพียงแค่เสียงกับอุดมการณ์ ไม่มีอำนาจในมือเพราะถูกเผด็จการพรากไปแล้ว
เราขอเรียกร้องเพียงความเท่าเทียม ซึ่งเป็นพื้นฐานของประชาธิปไตย”
ขณะที่ทางผู้นำรัฐบาลยังอึกอักกันอยู่ ใช้วิธีกดดันผ่านกระทรวงอุดมศึกษา
ออกคำสั่งให้มหาวิทยาลัยต่างๆ หลีกเลี่ยงการจัดชุมนุมภายในบริเวณมหาวิทยาลัย
อ้างว่าเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ‘COVID-19’
(https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2003552 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_2008266)
จะมีก็แต่ลิ่วล้อและหางเครื่องออกมา ‘สาดเสีย’ ใส่นักศึกษา สิระ เจนจาคะ ว่า “เด็กไม่อยู่ส่วนเด็ก
ต้องสั่งสอนให้รู้จักดีชั่วกันซะบ้าง” เช่นกันกับ สนธิญาน ชื่นฤทัยในธรรม
แสดงความยิ่งใหญ่ออกรายการ ‘ทิศทางไทย’
ของตน
จาบจ้วงอย่างแรงว่า “นิสิตนักศึกษาโง่
ยอมให้ ‘ธนาธร’
(จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต หน.พรรคอนาคตใหม่) หลอกออกมาปะทะ ก็ดี จะได้จบๆ เสียที”
พูดอย่างนี้เชื่อแน่ว่าต้องมีนักศึกษาจำนวนมากไพล่นึกย้อนยุคไปยังปี ค.ศ.๑๘๔๘
และคำว่า ‘กิโยติน’