“การดำรงอยู่ของ กอ.รมน.
คือการให้อำนาจของทหารเหนือหน่วยงานทั้งหลายแหล่
ซึ่งอันนี้มันผิดหลักของสังคมประชาธิปไตยเต็มที่
ทหารควรจะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและนโยบายของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”
เป็นตอนหนึ่งในคำสัมภาษณ์ของ พวงทอง ภวัครพันธุ์
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันอยู่ระหว่างทำงานวิจัยที่สถาบันเย้นชิง-มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด
ผู้ที่มีงานเขียนวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับบทบาทของ กอ.รมน. ต่อการเมืองการปกครองไทย
ในยุคหลังจากสงครามกองโจรกับพรรคคอมมิวนิสต์
ต่อคำถามที่ว่าบทบาทของ
กอ.รมน. หรือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน
ที่เพิ่มอย่างมากมายในสมัยการปกครองของรัฐบาล คสช.ที่มาจากการรัฐประหารปี ๒๕๕๗
อจ.พวงทองชี้ว่า
กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงถูกนำมาใช้ในการ
“เข้าไปควบคุมความคิดทางการเมือง การเคลื่อนไหวของประชาชน...รัฐไทยยังพยายามทำแบบนี้อยู่
ยังพยายามจัดตั้งมวลชน เขาไม่เชื่อการปล่อยประชาชนเป็นพลเมืองอิสระ
แต่เขามองว่าประชาชนเป็นพลังสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเจตนารมณ์และอุดมการณ์ทางการเมืองของรัฐ”
และที่ชั่วร้าย
(คำของผู้เขียน) “การดำรงอยู่ของ กอ.รมน. ภายใต้กฎหมายความมั่นคงนี้
ทำให้ทหารสามารถสั่งการหน่วยงานราชการต่างๆ ได้” อจ.พวงทอง ตั้งข้อสังเกตุด้วยว่า
ข้ออ้างที่ว่านายกรัฐมนตรีที่ (ถ้า) มาจากการเลือกตั้ง ได้เป็นผู้อำนวยการ
กอ.รมน.โดยตำแหน่ง
(กฎหมายความมั่นคงดังกล่าว
ก็คือ “พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ออกในสมัยพลเอกสุรยุทธ์
จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำให้ กอ.รมน. ดำรงอยู่เป็นองค์กรถาวรที่มีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติรองรับ
และยังทำให้กลไก กอ.รมน.
หรือกลไกของกองทัพยังมีอำนาจเข้าไปใช้ประโยชน์จากหน่วยราชการทั้งหมดได้” https://prachatai.com/journal/2018/09/78567)
“มันเป็นภาพลวงตา...ถ้าไปดูตำแหน่งสำคัญทั้งหลายแหล่ใน
กอ.รมน. ไล่ลงมาตั้งแต่รองผู้อำนวยการฯ เสนาธิการ
และคนที่นั่งอยุ่ตามหน่วยงานหลักๆ เช่น กิจการมวลชน หน่วยข่าวกรอง หน่วยอะไรทั้งหลายแหล่เป้นทหารทั้งนั้น
คนเหล่านี้ซึ่งจะทำหน้าที่ประเมินภัยคุกคาม
จัดยุทธศาสตร์ มันคิดแบบทหาร เสนอดดยทหาร แล้วก็ทำแบบทหาร”
อจ.พวงทองยังให้คำตอบต่อข้อสงสัยที่ว่า
คณะรัฐประหารชุดนี้อยู่ยาวกว่าครั้งก่อนๆ (ทั้งจากปี ๓๔ และ ๔๙) ว่า “เป็นดอกผลจากความอ่อนแอของภาคประชาชน และการแตกแยกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน
ทำให้ประชาชนในแต่ละฝ่ายสามารถถูกระดมขึ้นมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของอีกฝ่ายได้ง่าย”
‘ภาคประชาชน’ ที่อ้างนั้นหมายถึงพวกเอ็นจีโอ
นักสิทธิมนุษยชน และโดยเฉพาะสื่อมวลชน “ซึ่งไม่ว่า คสช. จะทำอะไรที่เป็นปัญหา
ก็จะยังเห็นสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งให้การสนับสนุนและปกป้องตลอดเวลา...
คุณจะเห็นคนอย่างหมอประเวศ
วะสี ยังไปร่วมโครงการประชารัฐ ไทยนิยม นี่คือภาคประชาสังคมที่ใหญ่มากๆ
ก็ยังให้การสนับสนุนและเป็นส่วนสำคัญที่สร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลทหารอยู่”
ต่อประเด็น ‘ความน่าจะเป็น’ หลังจาก
(ถ้ามี) การเลือกตั้งเกิดขึ้นแล้ว พวงทองเชื่อว่า “พรรคของทักษิณ
ชินวัตรก็ยังกลับมาได้อีก
อันเป็นผลจากนโยบายของรัฐบาลทักษิณในอดีตที่ผูกใจคนได้นาน” แต่กระนั้น “เสียงของเพื่อไทยคงลดลง
แต่คงไม่ถึงขนาดว่าจะทำให้เพื่อไทยพ่ายแพ้เป็นพรรคเสียงส่วนน้อย”
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์
จุฬาฯ ซึ่งเป็นศิษย์เก่าของรัฐศาสตร์ธรรมศาสตร์
วิเคราะห์ว่าชาวบ้านผู้ออกเสียงจะเลือกลงคะแนนโดยดูจากนโยบายหลักของพรรคการเมืองเป็นปัจจัย
มากกว่านโยบายย่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ “ที่ คสช.
ร่วมมือกับพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อซื้อใจชาวบ้านด้วยโครงการทางเศรษฐกิจ
...๓๐๐ บาท ยังผูกใจคนไม่ได้”