เนชั่นพาดหัวซะดราม่าเกินกว่าเนื้อแท้ข้อมูล “ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อปฏิรูปสำเร็จ”
อ้างเนื้อหาจากโพลสวนดุสิตว่า ๕๔ เปอร์เซ็นต์ของผู้สำรวจเห็นว่า “การปฏิรูปตำรวจคงจะสำเร็จได้ยาก
ต้องจริงจัง และทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ”
ที่จริงข้อสรุปที่ว่ามาจากการตอบคำถามหลากประเด็นโดยคนกลุ่มหนึ่งราวพันคน
ที่โพลเอาคำตอบไปรวมในผลสรุปเรียงกัน อันเป็นวิธีออกแบบสำรวจรวบรัดเกินไป ทำให้ผลสำรวจขัดแย้งกันบ่อยครั้ง
และไม่อาจใช้เป็นเครื่องชี้แนะอย่างสมจริงได้
แม้นว่าผลดุสิตโพลที่ออกมา เมื่อถามว่าประชาชนคิดอย่างไร อันดับหนึ่ง
๗๗.๔๕ % “เห็นว่าควรปฏิรูปมานานแล้ว เป็นปัญหาที่สะสมมานาน”
กระนั้นก็ดี เมื่อนำผลอันดับสี่มาเป่าลมให้พองเพื่อใช้พาดหัวเรียกความสนใจ
ก็เลยสะท้อนอารมณ์ชั่วยามของผู้คนที่แสดงปฏิกิริยาต่อการแต่งตั้ง พล.อ.บุญสร้าง
เนียมประดิษฐ์ เป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ
โดยประกอบด้วย “ข้าราชการตามตำแหน่ง ๕ คน
และมีคณะกรรมการอีก ๓๐ คน โดยแบ่งเป็นข้าราชการตำรวจ ๑๕ คน และไม่ใช่ตำรวจอีก ๑๕
คน รวม ๓๖ คน”
เสียงวิพากษ์ส่วนมากบอกว่า
ตั้งทหารมาปฏิรูปตำรวจมันจะได้เรื่องอะไร ทหารจะรู้ดีเท่าตำรวจเองได้หรือ
และตำรวจที่ได้เข้าไปร่วมวงหาใช่พวกที่อยู่กับปัญหา หรือรู้เห็นเหตุการณ์ดีพอที่จะทำให้การปฏิรูปถูกจุด
ข้อนั้น เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (Police Watch)
ซึ่งแบ่งภาคมาจากกลุ่มปฏิรูปพลังงานและภาคประชาสังคม รณรงค์เรื่องนี้มาตั้งแต่เอาชนะระบอบทักษิณด้วยอิทธิฤทธิ์
คสช. บอกไว้ในแถลงการณ์ของพวกตนว่า
“การรับฟังความคิดเห็นความต้องการของประชาชน
รวมทั้งตำรวจชั้นผู้น้อยและพนักงานสอบสวน ควรเป็นกระบวนการที่ต้องกระทำเป็นวาระแรก ก่อนที่จะเริ่มร่างกฏหมายให้มีการปฏิรูป”
กลุ่มนี้ยังเห็นแย้งย้อนรอยกรอบการทำงาน ๒-๓-๔ ของ
พล.อ.บุญสร้างด้วยว่า “ขอเสนอสูตร ๔-๓-๒
คือ
๔
เดือนแรก
ศึกษาข้อมูลและงานวิจัยต่างๆ พร้อมเปิดรับฟังความเห็นจากประชาชน
รวมทั้งตำรวจผู้น้อยและพนักงานสอบสวน ส่วนอีก ๓
เดือน
จัดทำร่างกฎหมาย ๒ เดือนสุดท้ายรับฟังความเห็นเพิ่มเติม ปรับแก้ไขในส่วนที่บกพร่อง”
ประเด็นหลักสำหรับการปฏิรูปน่าจะเห็นพ้องต้องกันตามดุสิตโพล
๘๒ เปอร์เซ็นต์ ให้จัดการเรื่องทุจริตคอรัปชั่น รับส่วยและสินบน รองลงไป ๗๕
เปอร์เซ็นต์ให้แก้ไขปัญหาสองมาตรฐาน คนรวยหลุดง่าย คนจนโดนคุก
ตามด้วยอันดับสาม ปราบการซื้อขายตำแหน่ง ค่าน้ำชาสำหรับการแต่งตั้งโยกย้ายเป็นแสนเป็นล้านที่
๖๕%เห็นด้วย กับเรื่องรายได้ตำรวจน้อยเกินไปความเป็นอยู่ลำบาก ๖๐% เห็นควรต้องปฏิรูปเรื่องนี้
ซึ่งก็มีความเห็นจากรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ แจงไว้น่าจะฟัง
“ว่าถ้าปฏิรูปการแต่งตั้งโยกย้ายสำเร็จ
ทุกอย่างจะดีหมด โดยไม่ต้องปฏิรูปอะไรต่อ...
ตำรวจไม่มีขวัญและกำลังใจในการทำงาน
เพราะมีการโยกย้ายไม่โปร่งใสและไม่เป็นธรรม...และอย่าให้เรื่องเงินทองมาเกี่ยวข้อง
ถ้าแต่งตั้งโยกย้ายเป็นธรรม ไม่ข้ามหัวกัน ไม่ข้ามห้วย ก็จะไม่เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น”
รักษาการ หน.
เพื่อไทยไม่วายวิจารณ์การตั้งทหารมาปฏิรูปตำรวจด้วยว่า “ไม่เชื่อว่าทหารมานั่งคุมแล้วจะปรับปรุงเรื่องนี้ได้สำเร็จ”
ต่างกับคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ที่
คสช.ตั้งเข้าไปนั่งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูป (สปท.) ที่ “ขอรอดูผลงาน
ไม่วิพากษ์วิจารณ์ก่อน
แต่มองว่า รัฐบาลอาจมีการตั้งธงการทำงานบางอย่างไว้แล้ว
เพราะไม่ยินดีที่จะนำข้อเสนออื่นที่เป็นประโยชน์มาร่วมด้วย”
ต่อกรณีที่พูดกันว่า ตำรวจ (ชั้นผู้น้อยมักจะ) ยากไร้ ก็ปะเหมาะพอดีมีโพสต์บนเว็บพันทิปที่แชร์กันระรัวให้ดราม่าได้อีก
ประมาณว่าตำรวจยากจนถึงขั้นเครื่องแอร์ทำความเย็นบนโรงพักแห่งหนึ่ง
ต้องหยอดสตางค์ถึงจะทำงาน
“ตอนแรกเราก็งงๆ คุณตำรวจถามว่ามีเหรียญห้าไหม
เรามีเลยแลกให้ และคุณตำรวจก็เอาไปหยอดเพื่อให้แอร์ทำงาน” ผู้ใช้นาม ‘littleflowers9’
เล่าความ
“ส่วนที่ติดแอร์หยอดเหรียญในภาพ
เป็นส่วนให้บริการประชาชนค่ะ ลงบันทึกประจำวัน รับเรื่องราวร้องทุกข์ กล่าวโทษ
และสารพัดเรื่อง
เรา ‘งง’ มากว่าทำไมค่าแอร์ถึงไม่รวมอยู่ในค่าสาธารณูปโภคของหน่วยงาน
ประเทศไทยยากจนขนาดต้องใช้แอร์หยอดเหรียญ”
อย่างนี้นี่เอง
เขาถึงพูดกันเกร่อว่าตำรวจยุค คสช. ก็แค่ ‘เบี้ยรองบ่อน’ เท่านั้นละ