วันจันทร์, กรกฎาคม 17, 2560

หนี้สาธารณะเพิ่ม ผลักไปให้รัฐบาลหน้า "สาสมแก่ใจกันแล้วหรือยังครับพระเดชพระคุณทั้งหลายเอ๋ย”

พอ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตอบนักข่าวว่ายังอยากอยู่กลาโหมต่อไป ไม่ต้องการย้ายไปมหาดไทยตามที่มีข่าวลือ ก็เห็นมีโพสต์กระแซะว่าเพราะกลาโหมได้ซื้ออาวุธเยอะแยะใช่ไหมล่ะ

ที่ว่าเยอะเห็นได้จากช่วงนี้มีสื่อรวบรวมรายการและมูลค่าอาวุธที่ คสช. จัดซื้อให้กองทัพทั้งสามเหล่าเฉลี่ยกันไปถ้วนหน้า แม้ทัพบกจะได้มากกว่าเพื่อนตามเคย

มติชนสุดสัปดาห์ให้รายละเอียดชนิดของยุทโธปกรณ์และสนนราคาที่มีการจัดซื้อตามวงรอบปกติ ไม่รวมถึงส่วนที่จัดซื้อโดยไม่เป็นข่าว ว่าใช้งบประมาณไปราว ๔๓,๕๓๓ ล้านบาท

ประกอบด้วยรถถัง VT-4 จากจีน สามรอบรวมทั้งสิ้น ๔๘ คัน รุ่นสุดท้าย ๑๐ คันในปีหน้า ๒๕๖๑ ตกลงจ่ายล็อตแรกแล้ว ๔,๙๐๐ ล้านบาท

นอกนี้ยังมียานเกราะล้อยางรุ่น VN-1 จากจีนอีก ๓๔ คัน เป็นเงิน ๒,๓๐๐ ล้านบาท กับเฮลิค้อปเตอร์ลำเลียงจากรัสเซียรุ่น Mi-17V5 อีก ๔ ลำ แต่แบ่งซื้อเป็นสองช่วง สองลำแรกราคา ๑,๖๙๘ ล้านบาท อีกสองลำหลังราคา ๓,๓๘๕ ล้านบาท


จากนั้น พล.อ.ประวิตร เห็นใจทัพเรือยังไม่ได้ของเล่นเทียมหน้าทัพบก จึงได้ผลักดันการจัดซื้อเรือดำน้ำ Yuan Class S-26T จากจีนอีกเช่นกัน ลำเดียว ๑๓,๕๐๐ ล้านบาท

แต่สัญญาทัพเรือว่าจะซื้อให้อีกสองลำ โดยทะยอยซื้อลำที่สองหลังปี ๒๕๖๔ กับลำที่ ๓ หลังปี ๒๕๖๕ มูลค่ารวมกันทั้งหมด ๓๖,๐๐๐ ล้านบาท ทำให้ทัพเรือยิ้มแก้มปริอยู่ขณะนี้

ทางด้านทัพอากาศก็ได้เครื่องบินไอพ่นปลอบใจเหมือนกัน “T-50TH GOLDEN EAGLE จากเกาหลีใต้ ๘ เครื่อง มูลค่า ๙,๐๐๐ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณ ๔ ปี”

ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐโดยประธานาธิบดีทรั้มพ์ปลดล็อคที่ประธานาธิบดีโอบาม่ายับยั้งการขายอาวุธให้ไทยหลังจากพวก คสช.ทำรัฐประหารในปี ๒๕๕๗ จึงมีกำหนดรัฐบาล คสช. ซื้อเฮลิค้อปเตอร์ แบล็คฮ้อว์ค รุ่น UH-60 ให้ครบฝูงอีก ๔ ลำ เป็นเงิน ๓ พันล้านบาท

ที่ขาดหายไปไม่ได้ระบุในรายการสรุปของมติชน มีเรือตรวจการชายฝั่ง ๙ ลำ เป็นเงิน ๑,๑๑๗ ล้านบาท กับเรือตรวจการไกลฝั่ง furnished หรือติดอาวุธพร้อม ราคา ๕,๔๘๒ ล้านบาท

แถมด้วยเรือสอดแนมฟรีเกต เทคโนโลยี่สูงล่องหนได้ ๒ ลำ ราคา ๑๔,๖๐๐ ล้านบาท กับ ๙,๐๐๐ ล้านบาท

ทั้งหมดนั่นตามการประเมินของ ‘ispace’ น่าจะกินงบประมาณทะลุถึง ๗๔,๐๐๐ ล้านบาท ขณะที่รายงานของ ผู้จัดการออนไลน์คำนวณวงเงินทั้งหมดไว้สูงกว่าใคร ว่ารวมทั้งสิ้น ๘๗,๐๖๕ ล้านบาท
แน่นอนทีเดียวว่ากองทัพยุคนี้อิ่มหมีพีมัน ขณะที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เพิ่งออกมาแถลงสถานะภาระหนี้ของประเทศ จากตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ว่าแตะอัตรา ๔๒.๙๐ เปอร์เซ็นต์ ต่อจีดีพี เข้าไปแล้ว

สบน. เปิดเผยรายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ พบว่า มีจำนวนวงเงินอยู่ที่ ,๓๔๗,๘๒๔.๓๘ ล้านบาท” ข้อสำคัญพบว่าวงเงินเกือบ ๗ ล้านล้านของหนี้สาธารณะนี้ มากกว่าเมื่อปีที่แล้วถึง ๗๙,๙๐๓.๕๐ ล้าน

หนี้ที่เพิ่มนี้เกิดจากการกู้ล่วงหน้าเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เป็นส่วนใหญ่ ๖๕,๐๐๐ ล้านบาท นอกนั้นนำไปจ่ายหนี้ที่ครบกำหนดเมื่อเดือนมิถุนายน แสดงว่ารัฐบาลไม่มีรายได้พอชำระหนี้ จึงต้องกู้มาเพื่อรักษาสภาพคล่อง

จริงอยู่ว่าการกู้เพื่อปรับสภาพหนี้เป็นกรรมวิธีบริหารการเงินการคลังที่ยอมรับกัน ต่างแต่ว่าหากรัฐบาลสามารถหารายได้เข้าประเทศตามปกติ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วีกู้หนี้ยืมสิน

มิหนำซ้ำ มีคำพูดแสดงความปราดเปรื่องของคนในรัฐบาล คสช. ด้วยว่า #ก่อนจะส่งมอบอำนาจต่อให้รัฐบาลใหม่_หนี้จะไม่ให้เกินตามที่กฏหมายกำหนด นั่นคือสัดส่วนของหนี้สินต่อจีดีพี ต้องไม่เกินร้อยละ ๖๐

โพสต์ของ ศราวุธ สุวรรณทิพย์ with Wassana Su. วิจารณ์เรื่องนี้ไว้น่าฟัง ว่าเป็นการ #ไร้ความรับผิดชอบ

รัฐบาลนี้ยึดอำนาจมาตอนหนี้สินอยู่ที่ร้อยละ ๓๙ ถ้าตอนลงจากตำแหน่งมีหนี้สินพุ่งไปถึงร้อยละ ๖๐ นั่นหมายถึงมีสัดส่วนหนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๑

ทั้งนี้ขนาดของ GDP ของเราอยู่ที่ ๑๒ ล้านล้านบาทต่อปี นั่นหมายถึงเราจะมีหนี้เพิ่มขึ้น . ล้านล้านบาทโดยไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย

ลำพังแค่งบประมาณแผ่นดินหลายๆ ปีที่อยู่ในตำแหน่ง รวมๆ กันแล้วก็ ๑๐ ล้านล้านบาทไม่หนีไปไหน แล้วเราได้อะไรมาบ้างจากที่ยึดอำนาจมา นอกจากอาวุธ อาวุธ และอาวุธ

แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า จะไม่เหลืออะไรให้รัฐบาลใหม่ได้ใช้เลยหรืออย่างไร โดยเฉพาะวงเงินที่เหลือให้เอาไปบริหารประเทศได้ต่อ

นี่อะไรกัน..........

ลำพังแค่ใช้วงเงินเครดิตจนเต็มเพดานเงินกู้แล้ว ยังจะเอาทรัพย์สินที่มีอนาคตดีๆ ไปให้เอกชนในเครือข่ายเอาไปทำมาหาประโยชน์เข้าพกเข้าห่อได้อีกหลายสิบปี สาสมแก่ใจกันแล้วหรือยังครับพระเดชพระคุณทั้งหลายเอ๋ย