วันอาทิตย์, กรกฎาคม 02, 2560

ศาสตร์พระราชายอกย้อนเสียจน พรก. แรงงานต่างด้าว ได้ผลตรงข้าม

มาอีกแระ ศาสตร์พระราชา ตอนใหม่ คราวนี้สำบัดสำนวนยอกย้อน เจ้าบทกลอน (แบบว่าโต้กับนวรัตน์ พงศ์ไพบูลย์มาแล้ว) ไม่ต้องให้ไก่อูร้องลิเก

แต่ก็เช่นเคย อ่านแล้วไม่เข้าใจไม่ยักเคลิ้ม น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง หาแก่นจริงไม่ได้

ประยุทธ์พูดถึงการลงทุนเพื่ออนาคต สาธยายยุทธศาสตร์ยั่งยืนสี่อย่าง ใช้สำนวนร้อยเรียง วกวนพัลวัน มีทั้ง “ห่วงโซ่อุปทาน” “เติบโตไปด้วยกัน” และ “มูลค่าอนาคต” แล้วไปลงที่ “ทุกอย่างต้องอาศัยเวลา” เออว่ะ กรูจะรอ

จากนั้นว่าถึง “พลังประชารัฐ ระเบิดจากข้างใน สัญญาคุณธรรม” ชักแม่น้ำทั้งห้า ปัญหาต่างๆ “สนิมที่เนื้อใน และปลาช็อคน้ำ” แล้วเข้าไปหาจุดขาย “ยอมเป็นหนี้ในวันนี้เพื่อกำไรในวันหน้า”


เสียดายจุดขายกลายเป็นจุดดับ วันนี้เห็นแต่หนี้ นโยบายอะไรก็ขายไม่ออก แล้วจะหวังกำไรวันหน้าได้อย่างไร

ที่อ้างว่า “แทบไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่มานานกว่า ๒๐ ปี ที่เรียกว่ากินบุญเก่า จนเกือบจะรั้งท้ายในเอเชีย และไม่มีอะไรจะดึงดูดความสนใจจากต่างประเทศ” นั่นก็มุสาหาความ พร่ำเพรื่อไปเรื่อย

ไอ้กินบุญเก่ามันเริ่มหลังรัฐประหารเมื่อสิบปีที่แล้ว มาหนักหลังจากพวกประยุทธ์ชุดเดิมยึดอำนาจซ้ำสองเมื่อสามปีที่แล้วต่างหาก และไม่แค่กินบุญเก่าเท่านั้น กินเล็กกินน้อยกันตั้งแต่ไมค์ทองคำถึงไข่ปลาคาเวียร์

เรื่อง “สร้างแบรนด์ไทย ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน” อันเป็นที่มาของ พลังประชารัฐก็เห็นกันโต้งๆ ว่าเพ้อพกปกปิดของจริง ทหารรวมหัวกับทุนใหญ่ แบ่งกันครองบ้านครองเมือง

ส่วนคำพูดตบตา “สองปีที่ผ่านมารัฐบาลนี้เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเปิดช่องให้มีการร้องเรียน” ก็เห็นตำตาอีกน่ะแหละ ว่าสองนักร้องเรียน คนหนึ่งเหลืองคนหนึ่งแดง ศรีสุวรรณ จรรยา กับเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ต่างร้องเรียนไว้หลายเรื่อง กลับถูกหมายหัวโดนสอบเสียเอง

ศาสตร์พระราชาคราวนี้จึงไม่มีอะไรดีไปกว่าขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ดังมีคนเขาว่าไว้สาดเสีย “หลายเรื่องที่ผ่านมา ที่สร้างปัญหาเอง แล้วแก้ปัญหาที่ตัวสร้าง ไปๆ มาๆ ก็ผ่านไปสามปีโดยที่ไม่ได้ ไม่มีผลงานอะไร บ้านเมืองเละเทะไม่มีชิ้นดี...

เป็นความไร้สามารถและอ่อนด้อยในการบริหารที่แสดงออกมานับครั้งไม่ถ้วน”

อันนี้ชักจะฟังขึ้น จากผู้ใช้นาม Thuethan Prasobchoke วิพากษ์เรื่องแรงงานต่างด้าวตื่นหนีกฎหมายแรงงานใหม่ โทษหนักจำคุกถึง ๕ ปี ปรับอีก ๔ แสนถึง ๘ แสนบาท พม่า เขมร ลาวอพยพกลับบ้านกันเป็นระลอกใหญ่

ก่อให้เกิดช่องว่างทางการผลิตขนาดยักษ์ ต่อให้นายกฯ ลุงตูบพล่ามถึงไตแลนเดีย ๑๐.๐ ก็ไม่ทำให้ประเทศพ้นกับดัก ไร้น้ำยา ไปได้

เสร็จแล้วใช้วิธีแก้ปัญหาแบบ ประยุทธ์ ๓.๐ ขี้ไม่ออก เยี่ยวขัด ต้องใช้มาตรา ๔๔

ให้ชะลอหรือเลื่อนการใช้ มาตรา คือ มาตรา ๑๐๑ กรณีการเอาผิดลูกจ้าง มาตรา ๑๐๒ เอาผิดนายจ้างที่รับคนมาทำงานในอาชีพพิเศษบางอย่างโดยไม่รับอนุญาต และมาตรา ๑๒๒ การรับคนที่ไม่มีใบอนุญาตมาทำงาน


ทั้งนี้หลังจากประยุทธ์ประชุมร่วมกับรองนายกฯ วิษณุ เครืองาม รมว. แรงงาน พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล และอธิบดีกรมจัดหางาน รับทราบข้อเสนอของภาคเอกชนที่ชี้ว่า พรก. บริหารจัดการคนทำงานต่างด้าว ๒๕๖๐ “กฎหมาย ๑๔๕ มาตรา อ่านแล้วยังไม่รู้เรื่อง” แบบเดียวกับศาสตร์พระราชาของประยุทธ์

โดยให้เลื่อนการบังคับใช้ กม. แรงงานต่างด้าวใหม่ออกไป ๑๒๐ วัน และระหว่างนี้จะไม่มีการจับกุม มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ ๒๓ มิ.ย. ๒๕๖๐ วันที่กฎหมายฉบับนั้นเริ่มบังคับใช้

เพื่อจัดการกับระบบแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ไม่ได้รับอนุญาตตั้งแต่ต้น ให้กลับไปขออนุญาตที่ประเทศของเขาให้ถูกต้อง” เวลาแค่สี่เดือนก็คงจะเรียบร้อยแบบโรงเรียน คสช. แหละ ผลักภาระออกไปอีกหน่อย

เรื่องนี้ จาตุรนต์ ฉายแสง ของพรรคเพื่อไทยแจงถึงความผิดพลาดของรัฐบาล คสช. ไว้ว่า “การออกพ.ร.ก.จัดหางานแรงงานต่างด้าวฯนี้ไม่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาและสภาพความเป็นจริงของประเทศที่ต้องอาศัยพึ่งพึงแรงงานต่างด้าวที่มีส่วนสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมานาน...

ที่มีการวิเคราะห์กันว่า การที่รัฐบาลออก พ.ร.ก.นี้อาจต้องการเอาใจสหรัฐหรืออวดอ้างต่อต่างประเทศว่ามีการพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวให้ก้าวหน้าทันสมัยนั้น กรณีนี้จะมีผลตรงกันข้าม

ด้วยระบบการบังคับใช้กฎหมายที่จุกจิกยุ่งยาก แต่บทลงโทษหนักมากอย่างนี้ แรงงานต่างด้าวที่ยังอยู่ต่อไปจะยิ่งถูกเอารัดเอาเปรียบและอยู่ในสภาพพลเมืองชั้นสามชั้นสี่ ถูกละเมิดสิทธิ์ของความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น


และ “การใช้ ม.๔๔ผ่อนปรนการใช้ พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าว นั้นไม่พอหรอกครับ มันต้องทบทวนทั้งระบบและแนวคิดใหม่หมด ต้องถามว่าจะส่งเสริมหรือทำลายธุรกิจ” (@chaturon Jun 30)

ส่วนที่เขาเม้าท์กันทางโซเชียลมีเดียว่า พวกเชียร์ คสช. แก้ตัวให้ “นายกลุงตู่ถูกคนใกล้ตัววางยา ยัดไส้ให้เซ็น” นั้นยิ่งหนักไปใหญ่เมื่อเข้าไคล้ว่า “ต้องเป็นผู้นำที่โง่ระดับไหน” I don’t know.