เค้าจะปฏิรูปกฎหมายกันละนะ
แต่ไม่รู้ทำไมต้องให้เอกชนลงขันจ้างฝรั่งผู้ชำนาญที่เคยให้การปรึกษารัฐบาลเกาหลีใต้มาช่วยด้วยล่ะ
ในเมื่อระบบกฎหมายฝรั่งกับไทยต่างกันราวหัวเข่ากับท้ายทอย
(ความหมายคือทนทานกับเปราะบาง)
นายสุวิทย์
เมษินทรีย์ รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมเตรียมการปฏิรูปว่า
ปยป. หรือคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปที่ คสช.
ตั้งขึ้นนั้นจะอยู่ยาวจนกระทั่งหลังจาก พรบ.ยุทธศาสตร์ชาติประกาสใช้แล้ว
และจะประชุมใหญ่กันวันที่ ๒๔ กรกฎานี้
ในส่วนของการปฏิรูปกฎหมายที่ ‘ล้าสมัย’ ภาคเอกชนได้ลงขันจัดจ้างนายสก๊อต
จาค็อบ (Scott Jacobs) ประธานที่ปรึกษากฎหมายบริษัท Jacobs,Cordova
& Associates ผู้ “เคยปฏิรูปกฎหมายให้เกาหลีใต้จนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์
มาทำเรื่องนี้”
ไม่รู้ว่านั่นจะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
เหมือนเมื่อครั้ง กกต. พากันไปดูงานระบบเลือกตั้ง ทั้งสวิสเซอร์แลนด์และสก็อตแลนด์
เสร็จแล้วอิเหนาเป็นเอง กกต. ไม่เอาเลือกตั้ง ๒ กุมภา ๕๗ ซะงั้น
ถ้าพูดถึงความล้าหลังกฎหมายไทยมีอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าการปฏิรูปเฉพาะตัวบทไม่น่าจะช่วยทำให้กฎหมายไทยทันสมัยเทียบทันประเทศอารยะตะวันตกได้
เพราะกระบวนการยุติธรรมไทยนับวันยิ่งเหลวไหล พิพากษาและตุลาการเอาตนเป็นที่ตั้งในการพิจารณาวินิจฉัยคดีความ
แค่คดีการเมืองตัดสิน ‘เหลือง’ หลุดหมด ‘แดง’ ผิดทุกประตู แก้ตรงนั้นให้ได้เสียก่อนค่อยลงลึกรายละเอียดตัวบท
อีกอย่างระบบตุลาการไทยผูกกระบวนการยุติธรรมไว้กับระบบราชการ
มีสายการบังคับบัญชาซึ่งเข้าไปยุ่งเหยิงกับการพิจารณาคดีความ
การจองล้างระหว่างสีนับแต่หลังรัฐประหาร ๒๕๔๙ เป็นต้นมา ยังได้เข้าไปเพิ่มมิติให้กับกระบวนการตัดสินคดีของศาลไทยอีกด้วย
นอกเหนือจากการติดยึดเกินธรรมชาติแห่งกฎหมายกับข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์
เมื่อวันวาน (๑๒ กรกฎา) นี่เอง มีราชกิจจานุเบกษาใหม่ออกมา กำหนดตำแหน่งใหม่ ‘ที่ปรึกษาประธานศาลฎีกา’ เทียบเท่า ‘ประธานศาลอุทธรณ์’
นัยว่าเป็นตำแหน่งปลอบใจอดีตประธานศาลอุทธรณ์ที่เพิ่ง ‘ปิ๋ว’ ตำแหน่งประธานศาลฎีกา หลังจากเกิดการแหวกม่านประเพณี ที่ประชุม กต.
ไม่อนุมัติให้เขาได้รับแต่งตั้ง ทั้งที่ประธานศาลอุทธรณ์เป็นตำแหน่งอันดับสองจ่อคิวประธานศาลฎีกา
จึงเป็นที่เข้าใจว่า ในการประชุม กต. วันที่ ๑๗ ก.ค.นี้ นายศิริชัย วัฒนโยธิน ซึ่งหลุดจากตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์เมื่อ
กต. พิจารณาเห็นว่าเขาไม่ควรแก่ตำแหน่งประธานศาลฎีกา เนื่องเพราะมีประวัติความผิดพลาดในรูปคดี
จะได้เข้าไปรับตำแหน่งใหม่ ‘ที่ปรึกษาประธานศาลฎีกา’ เป็นคนแรก
นี่คือการเมืองในแวดวงตุลาการ
ที่จะมีผลต่อการวินิจฉัยคดีความอย่างแน่นอน
เฉกเช่นที่เห็นเด่นชัดในช่วงสามปีที่ผ่านมา เมื่อการเมืองในประเทศถูกผูกขาดด้วยเผด็จการทหาร
นับประสาอะไรกับการปฏิรูปทั้งหลายที่ คสช. และลิ่วล้อกล่าวอ้าง
กระทั่งการปฏิรูปตำรวจซึ่งมีการตั้งคณะกรรมการ ๓๖ คนอันเต็มไปด้วยทหาร
และมอบให้อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานคุมบังเหียน เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมาตลอดอาทิตย์เพิ่งจะซา
แต่ที่ไหนได้ไฟติดใหม่เมื่อ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์
ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชน ยอมรับว่า “รู้สึกว่าเราไม่คุ้นกับตำรวจ...ผมบอกกับคนที่ชวนว่าผมไม่รู้เรื่องอะไรมาก
แต่เขาบอกไม่มีตัวแล้ว”
พล.อ.บุญสร้างยังเล่าความไม่พร้อมด้วยว่า “ผมรู้ตัวล่วงหน้าแค่สองวัน
ถูกทาบทามให้ทำหน้าที่ประธาน ไม่มีใครบอกใบ้ล่วงหน้าเลย” เขายังเผยต่อมาว่า “มีสองคนทาบทามในวันเดียวกัน”
การนี้
Thanapol
Eawsakul วิจารณ์ว่าเป็น “ความอับจนของการปฏิรูปภายใตัระบอบรัฐประหาร” ในเมื่อ คสช. “ไม่ไว้ใจคนนอก แม้จะมีพวก กปปส.
อาสามามาก...แต่ก็ไม่มีใครให้ใช้แล้ว
การไปกระโดดคว้าตัวบุญสร้าง
มานั่งประธานปฏิรูปตำรวจคือการซื้อเวลาไปเรื่อย ๆ นึกถึงพวกปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
เห็นอย่างนี้น่าจะกระอักเลือดตาย”