โอ้โห เห็นรายชื่อทหารนั่งเป็นกรรมการในบอร์ดวิสาหกิจต่างๆ
ของรัฐไทยแล้ว ไม่แปลกใจเลยทำไม คสช.ถึงด้านได้ ไม่ยอมไป
ในจำนวนรัฐวิสาหกิจ ๔๔ หน่วยงาน มีทหารเป็นประธาน
หรือกรรมการทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า ๘๐ คน
เช่น ในการบินไทย ๖ คน ส่วนใหญ่ทหารอากาศ แต่ประหลาดมีตำรวจใหญ่เข้าไปนั่งในบอร์ดด้วย
คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.
ที่บริษัทอู่กรุงเทพฯ มากกว่าใคร ๘ คน แน่นอนเป็นทหารเรือทั้งแก๊งค์
ส่วนที่กองสลากฯ อันดับสาม มีทั้งทหารและตำรวจรวมกัน ๕ คน นำโดยนายพลแดง อภิรัชต์
คงสมพงษ์ แม่ทัพน้อยที่ ๑ ตัวเต็ง ผบ.ตร. ไม่ช้าก็เร็ว
สำหรับบริษัทท่าอากาศยานไทยนั้น มาครบสามเหล่าทัพ ๔ คน
ทหารอากาศเอาไปสองตามฟอร์ม นอกนั้นสามบ้าง สองบ้าง กระจายกันไป จะเป็นการทางพิเศษ
นิคมอุตสาหกรรม การประปา การไฟฟ้า การเคหะ การกีฬา และการจัดการน้ำเสีย
รวมทั้งที่บินเดี่ยวก็หลายแห่ง อาทิ การรถไฟ องค์การตลาด ยาสูบ
เภสัชกรรม การยาง สะพานปลา ไปจนกระทั่งธนานุเคราะห์
เฉพาะที่ มะไฟ ไหชมพู @whatsapp4456 สัพยอกหยันๆ
ว่า “นี่แหละประเทศไทย
ประเทศที่ทหารอายุเกือบหกสิบอัพ เก่งแบบครอบจักรวาล สามารถบริหารได้ทุกบอร์ด” ฟังแล้ว irony ‘ตลกร้าย’ เสียนี่กระไร
หากดูจากที่ Pinkaew Laungaramsri
นักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คอมเม้นต์ข่าว “ผวจ.เมียวดีข้องใจ
จนท.ไทยรีดทรัพย์แรงงานพม่าขณะเดินทางกลับ” (https://www.matichon.co.th/news/594848) ว่า
“ที่จะซบเซาหนักนอกจากธุรกิจต่างๆแล้ว สี่หน่วยงานหลักชายแดนของรัฐที่เคยมีรายได้ประจำจากส่วย
และการรีดไถ น่าจะกุมขมับหนักอยู่ในขณะนี้
ช่วงนี้
จึงเป็นช่วงปล่อยผี เพราะไปข้างหน้า ไม่รู้ยังจะหากินแบบเก่าได้อีกหรือเปล่า” แล้วยิ่งเศร้า
เรื่องนั้นทำให้เห็นตำตาว่า
คสช. บริหารประเทศ ‘ห่วย’ ขนาดไหน ไม่เป็นแล้ว ‘ลองผิด’ เสียละมากกว่า ‘ลองถูก’ ออก
พรก. แรงงานต่างด้าวมาสร้างความปั่นป่วน แล้วใช้อำนาจเผด็จการพยายามจะแก้
นี่ยืดเวลาชลอการบังคับใช้
๔ มาตราออกไปเป็น ๖ เดือนถึงต้นปีหน้า มันแสดงให้เห็นอาการ ‘ปัญญาอ่อน’ มากกว่าความสะเพร่า
ไม่ดูอะไรให้ละเอียดแล้วยังมั่วซั่ว เอามาตรา ๔๔ มาใช้ทำให้การออกกฎหมายของตนเอง ‘ไร้ค่า’ หมดสิ้นความขลัง
เช่นกันกับเรื่องรถขนส่งทัพบกพันกว่าคันถูกยักยอกผ่องถ่ายออกไปขาย
นี่ก็อีกชนักปักหลังบิ๊กตูบ เที่ยวไปกล่าวหานักการเมืองคอรัปชั่น
เหมือนดั่งสร้างปมเขื่องปิดบังความเสื่อมเน่าเฟะในตัวตนเอง
มันไม่ใช่เพียงพันเอก
(ภพกฤต พันธ์ยศ) หนึ่งคนตบตาทหารทั้งกองทัพแน่ๆ ลองดูความเห็นที่ Pischuta Petsuwan ชี้แนะ
“กรณีทหารแอบขายรถได้เป็นพันคัน
และมีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องไม่กี่คนเป็นเรื่องปกติ
แต่เขาไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้โดยลำพังหากนายไม่เห็นด้วย แน่นอน”
เธออ้างว่าในกรณีครุภัณฑ์ยานพาหนะขนส่ง การขายทอดตลาดมันมีหลายขั้นตอน
แรกทีเดียวหน่วยงานเจ้าสังกัดจะต้องทำเรื่องแจ้งแก่กรมการขนส่ง
จัดการโอนทะเบียนให้แก่ผู้ประมูลได้
แล้วนำเงินรายได้จากการจำหน่ายเข้าสู่วิธีงบประมาณ
เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่พัสดุต้องทำการจ่ายทรัพย์สิน (ที่ขาย)
ออกจากทะเบียนครุภัณฑ์ และส่งรายงานแก่ผู้มีอำนาจลงนาม เช่นนี้ “แค่หนังสือที่ส่งไปขนส่ง
จักต้องส่งไปพร้อมทะเบียนรถ เพื่อทำการโอน”
แค่นี้ขนส่งจะสามารถทราบได้ทันทีว่าเป็นทะเบียนสวม “เพราะขนส่งมีระบบออนไลน์
ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องทำเป็นขบวนการ รู้เห็นทั้งเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ขนส่ง
ลองหารายชื่อผู้ประมูลได้
อาจจะเป็นเครือญาติของพวกทหารด้วยซ้ำ”
(ดูรายละเอียดขบวนการปลอมชื่อเจ้ากรม “ขายรถทหารพันคัน
ขส.ทบ.” ที่ https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_426590)
อีกรายนำโฆษณาขายรถจี๊บวิลลี่ออนไลน์มาให้ดู ราคาคันละ
๒๕๐,๐๐๐ บาท อ้างว่า “ประมูลซากมาจากกองทัพ ไม่มีเล่มเอกสาร สภาพเครื่องเดิม
เกียร์ ๓ ก้าน ๓ เกียร์ วิ่งขับ ๔ ได้ปกติ”
นี่เป็นทั้งการกระทำฉ้อฉลและเหิมเกริมภายใต้อำนาจอิทธิพลของ
คสช. ซึ่งขึ้นมาครอบครองประเทศด้วยการรัฐประหาร
ซึ่งนับวันจะยิ่งทำกันโจ่งแจ้งเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ
ควบไปกับการจับกุมคุมขังผู้เห็นต่าง
ดังที่เพิ่งมีการจู่โจมเข้าควบคุมตัวนักกิจกรรมต่อต้านรัฐประหารและเรียกร้องประชาธิปไตย
๒ คน ต่างกรรม ต่างวัน
รายแรกนายเจริญชัย แซ่ตั้ง ถุกทหารสิบกว่าคนจู่โจมเข้าจับกุมโดยไม่มีหมาย
นำตัวไปควบคุมไว้ที่ มทบ.๑๑ ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม
เนื่องจากเขาเคลื่อนไหวรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒
มาเป็นเวลาหลายปีไม่หยุดหย่อน
อีกรายนายเอกชัย หงส์กังวาน ตามรายงานของ สุณัย ผาสุก @sunaibkk วันนี้
“ด่วน!
เอกชัย หงส์กังวาน ถูกอุ้มหายตัวไป
หลังประกาศจะไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาลและสำนักงานยูเอ็น ขอให้บรรจุวันที่ 24
มิ.ย.เป็นวันชาติ”
เจ้าตัวโพสต์เฟชบุ๊คก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ว่ามีรถตู้ไปจอดหน้าบ้านเฝ้าดู
มีทั้งทหารและเจ้าหน้าที่เขตบางกะปิ ๔ คน แล้วเดินไปหาเขา
บอกว่าจะรับหนังสือเรียกร้อง ๒๔ มิถุนาเป็นวันชาติโดยตรงเลย
เอกชัยไม่ยอมให้ บอกแก่ทหารพวกนั้นว่าจะไปยื่นที่ทำเนียบเองวันรุ่งขึ้น
พวกนั้นก็กลับไปนั่งเฝ้าต่อในรถ จนกระทั่งมีการจับกุมดังกล่าว
นี่ละปฏิบัติการณ์ข่มขู่ประชาชนของ คสช.
ที่นับวันจะยิ่งถี่ยิบ จุกจิก และตามอำเภอใจ ไม่คำนึงหลักการใดๆ เสรีภาพปัจเจกชน สิทธิมนุษยชน
หรือนิติธรรม มากยิ่งขึ้น เพราะแรงต้านร้อนรุ่มขึ้นแล้ว