วันพุธ, กันยายน 07, 2559

3 นักปราศรัยของยุคสมัย : สนธิ ลิ้มทองกุล - ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ - อัญชลี ไพรีรักษ์ - Janewit Chueasawatee





3 นักปราศรัยของยุคสมัย : สนธิ ลิ้มทองกุล - ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ - อัญชลี ไพรีรักษ์

อาจมีเพื่อนในเฟซ อ่านแล้วไม่ชอบ status นี้ แต่ผมรู้สึกแบบนี้จริงๆ

ในฐานะคนที่สนใจพลังของการพูด และเฝ้าเรียนรู้วิธีการพูดของคนหลายคน ผมคิดว่า ไม่ว่าเราจะไม่ชอบ 'สนธิ ลิ้มทองกุล' ขนาดไหน แต่เราปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า นี่คือ Political Orator หรือ ผู้ปราศรัยในทางการเมืองที่ดีที่สุดคนหนึ่งของไทย

ถ้าจะมีใครอีกนอกจากสนธิ ผมคิดว่า คือ 'ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ' และ 'เจ๊ปอง-อัญชลี ไพรีรักษ์'

สามคนนี้มีจุดเด่นคนละเรื่อง

สนธิ เป็นที่สุดของความสามารถในการโน้มน้าวคนด้วยข้อมูล

สนธิ เป็นที่สุดของความสามารถในการแยกย่อยข้อมูล เล่าเรื่องเป็นระบบ ขมวดจบชนิดที่สามารถจูงใจให้เราเชื่อไม่เหมือนเดิม ยิ่งในยุคนี้ที่การปราศรัย เน้นความสามารถในเชิงคารม ยิ่งหาคนแบบสนธิที่เดินขึ้นบนเวทีพร้อมข้อมูล ระดับมหากาพย์ แต่ฟังง่าย ชวนเชื่อได้ง่าย ได้ยากขึ้น

อีกความสามารถหนึ่ง คือ สนธิ รู้ว่าจะใช้อะไรกระตุ้นคนฟังให้รู้สึกโกรธ นัยหนึ่งคือรู้ว่าอะไรเป็นของร่วมกันของคนที่อยู่ต่อหน้าเรา

สนธิเลือกใช้ ชาติ ใช้สถาบันกษัตริย์ เป็นเดิมพัน ในการปราศรัยของตัวเอง โดยใช้ โดยพูดถึง โดยอ้างถึง ชนิดที่ไม่กลัวใครหน้าไหนมาด่าว่า 'ดึงฟ้าต่ำ'

จำประโยคกินใจนี้ได้ไหม "พระเจ้าอยู่หัวไม่มีที่พึ่งอีกแล้ว นอกจากพวกเราเท่านั้น”

"ใช่ ,ไม่ใช่"... สนธิมักถามผู้ฟัง
-----





'ณัฐวุฒิ' คือตัวอย่างของการตรึงผู้คนด้วยอารมณ์ขัน ด้วยเรื่องเล่าหักมุม ด้วยการพูดประโยคซ้ำๆ แต่บิดเนื้อความต่อท้าย จังหวะนี้มาเมื่อใด เสียงปรบมือไม่เคยขาดสาย พูดให้ถึงที่สุด คือพูดไปโดยที่เสียงปรบมือดังไม่หยุดหย่อน

Obama ทำแบบนี้ได้ โดยเฉพาะในช่วงใกล้จบสุนทรพจน์แต่ละครั้ง แต่ในเมืองไทย ผมคิดว่า การพูดด้วยจังหวะแบบนี้มีณัฐวุฒิทำได้คนเดียว

ผมพยายามฝึกจังหวะแบบนี้หลายครั้ง พบว่ายากมาก คือทุกประโยคต้องชัด เข้าใจง่าย แล้วถ่ายทอดด้วยอารมณ์ที่ค่อยๆไล่ไปสู่จุดสูงสุด (ดูในตัวอย่างที่ยกมา วิธีการพูดคือ ใช้คำว่า 'คนเสื้อแดงจะ....แล้วเติมประโยคต่อท้าย' )

ในบรรดานักปราศรัยทั้งหมดที่มีในไทยตอนนี้ ณัฐวุฒิ เป็นหนึ่งเดียวที่สามารถทำให้คนฟังสักพักหัวเราะได้ สักพักโกรธได้ สักพักร้องไห้ได้ สักพักลุกฮือได้

สุนทรพจน์ 'จากดินถึงฟ้า' คือจุดสูงสุดในชีวิตของ ณัฐวุฒิ (ผมเคยแซวกับเพื่อนเล่นๆว่า เราแต่ละคนเกิดมาทำอะไรสักอย่างแล้วจากไป ... พี่เต้น สร้าง master piece แล้วครับ)

"เมื่อเรายืนอยู่บนดิน ต้องแหงนคอตั้งบ่า แล้วเราก็รู้ว่า... ฟ้าอยู่ไกล... เมื่อเราอยู่บนดิน แล้วก้มหน้าลงมา เราจึงรู้ว่า... เรามีค่าเพียงดิน..."

"คนเสื้อแดงจะบอกดิน บอกฟ้าว่า... คนอย่างข้าก็มีหัวใจ...! คนเสื้อแดงจะบอกดิน บอกฟ้าว่า... ข้าก็คือคนไทย...! คนเสื้อแดงจะถามดิน ถามฟ้าว่า... ถ้าไม่มีที่ยืนที่สมคุณค่า...! จะถามดิน ถามฟ้าว่า... จะให้ข้าหาที่ยืนเองหรืออย่างไร...!"

----





ส่วน 'เจ๊ปอง-อัญชลี' ผมคิดว่า นี่คือตัวอย่างของ นักปราศรัยที่ไม่ต้องตะโกน ไม่ต้องใช้เสียงหนักหน่วง แต่สามารถตรึงผู้ฟังให้ฟังเพลินๆ/ให้จมอยู่กับเธอได้โดยไม่ลดละ

อัญชลี ถือความสามารถสองอย่าง หนึ่งคือความสามารถในการเล่าเรื่อง ใครฟังจะรู้ว่า เธอเล่าเรื่องสนุก กระชับ มีเนื้อมีหนัง มีการ Highlight ความชั่วของตัวละครที่เธอพูดถึงด้วยศัพท์ที่ร้อนแรง

สอง เธอมีความสามารถในการสร้างปิศาจ แซะ แขวะ จิกกัด ขยี้เรื่อง ให้ฟังแล้วสะใจ ชนิดไม่ปรบมือตามไม่ได้

อัญชลี ไม่ได้มี master piece ที่เป็น major speech แบบคนอื่นๆ แต่การที่เธอสามารถพูดเปิดเวที ให้เกิดความคึกคัก ตื่นเต้น ปลุกเร้าผู้คนให้เห็นประเด็นสำคัญในการต่อสู้ของแต่ละวัน ก่อนลุงกำนันขึ้นพูด ซึ่งไม่ใช่งานง่าย ก็ถือเป็นงานชิ้นเอกของเธอที่น่าจดจำ

----

อาจอ่านแล้ว ไม่ถูกใจในบางประเด็นหรือหลายประเด็น ผมขออภัยล่วงหน้า แต่นี่เป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้/เฝ้ามอง จากคน 3 คนนี้


Janewit Chueasawatee

ooo

YouTube - ณัฐวุฒิจากดินถึงฟ้า.flv



https://www.youtube.com/watch?v=PchvwM5gvWk

B0bMarIey

Uploaded on May 8, 2010
จากดินถึงฟ้า