แปลจาก: How Thailand’s Junta Abuses Its Critics
บทความเขียนโดย: รศ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
บุคคลผู้หนึ่ง ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติที่ตัวเขากับครอบครัวได้รับ ภายใต้การปกครองของฝ่ายเผด็จการทหาร
------------------------------------------
เมื่อวันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนหน้าที่ผมจะต้องเริ่มการบรรยายที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ผมได้รับข่าวจากพี่สาวของผม ซึ่งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ด้วยการขอร้องให้ผมติดต่อเธอกลับไปอย่างด่วนที่สุด หลังจากที่ผมได้ทำการติดต่อกับเธอแล้ว เธอบอกให้ผมทราบด้วยน้ำเสียงอย่างทุกข์อกทุกข์ใจว่า ทางกองทัพได้ส่งนายทหารจำนวน 4 คนมาที่บ้านของผมในกรุงเทพมหานคร
เนื่องจากการเป็นบุคคลที่มีคารมปากกล้าในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับอนาคตของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และยังทำการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเผด็จการทหารซึ่งบริหารประเทศในปัจจุบันอยู่ ชื่อผมเคยถูกนำขึ้นมาใช้โดยส่วนตัว เพื่อยัดเยียดข้อหาเรื่องการก่อกวนรังควาญให้เสมอๆ เนื่องจากว่า ผมได้ทำการวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายกองทัพและสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างยาวนาน มันเลยเป็นผลพวงของการก่อการรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. 2557 ที่ทำให้ฝ่ายเผด็จการทหารตัดสินใจเรียกตัวผม ถึงสองครั้ง เพื่อทำการ “ปรับทัศนคติ” ซึ่งก็คือ การใช้คำอย่างนุ่มนวล (Euphemism) เพื่อทำการบังคับขู่เข็ญกรรโชกกับบุคคลที่ทำการวิพากษ์วิจารณ์ผู้บริหารประเทศ เมื่อผมปฎิเสธการเรียกตัว เนื่องจากว่า ผมไม่ยอมรับความถูกต้องตามกฎหมายของการก่อการรัฐประหาร ฝ่ายเผด็จการทหารก็ดำเนินการออกหมายจับเพื่อทำการจับกุมผม และยังได้ถอดถอนหนังสือเดินทางของผมด้วย เรื่องนี้บังคับให้ผมต้องขอสมัครเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ก่อนที่จะไปศึกษาดูงานที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
แต่มันก็ไกลเกินกว่าที่ทางฝ่ายเผด็จการทหาร จะหักห้ามตนเองเพียงเพื่อที่จะทำโทษกับผม ทางฝ่ายกองทัพก็ยังคงทำการขู่เข็ญกับครอบครัวของผมในกรุงเทพมหานครอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ความเป็นจริงคือ เรื่องเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานวิชาการหรือทัศนคติส่วนตัวเกี่ยวกับการเมืองไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์เลย นี่ก็ไม่ใช่เพียงครั้งแรกที่ทางฝ่ายกองทัพ ทำการข่มขู่คุกคามครอบครัวของผม – เมื่อปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่ทหารของกองทัพบกไทยได้ไปเยี่ยมเยือนที่บ้านของผมถึงสองครั้ง ด้วยการแสวงหาวิธีการที่จะทำการข่มขู่ครอบครัวของผม เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ผมทำการท้าทายอำนาจของพวกเขาในประเทศไทย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ ยังไม่ใช่เรื่องที่อุกอาจมากที่สุดแต่อย่างใด เพราะนอกเหนือไปจากการส่งทหารหลายคนมาที่บ้านผมแล้ว ฝ่ายกองทัพก็ยังทำการโทรศัพท์ไปหาพี่สาวของผมที่ที่ทำงานเธอถึงสองครั้ง และสั่งให้เธอบอกกับผมว่า ถ้าผมยังไม่หยุดทำการวิพากษ์วิจารณ์สนทนาในเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว ครอบครัวของผมก็จะต้อง “ถูกชำระ” (pay the price) ในเรื่องของกิจกรรมการเคลื่อนไหวของผมนอกประเทศไทย ทางฝ่ายกองทัพยังเรียกร้องให้ สมาชิกในครอบครัวของผมทั้งหมดทุกคนในกรุงเทพมหานคร ไปรายงานตัวกับพวกเขาเองที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง และถ้าพวกเขาไม่ยอมทำตามที่สั่ง ก็จะมีการไปเยี่ยมเยียนที่บ้านอีกครั้งหนึ่ง
โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็ยังเป็นห่วงครอบครัวของผมในประเทศไทยอยู่ และผมก็กำลังดำเนินการเพื่อที่จะสร้างความมั่นใจ ทั้งๆ ที่ผมต้องทำงานข้ามโลกในประเทศอังกฤษก็ตามว่า ความปลอดภัยของพวกเขาจะต้องมีอยู่ แต่ผมก็ไม่ใช่คนๆ เดียวที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น นักวิชาการคนอื่นๆ เหมือนกับตัวผม ซึ่งกำลังลี้ภัยอยู่ต่างประเทศในเวลานี้ เป็นต้นว่า อาจารย์.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และอาจารย์ สุดา รังกุพันธุ์ ต่างก็ต้องทนทุกข์ในโชคชะตาแบบเดียวกัน เนื่องจากครอบครัวของพวกเขาในประเทศไทยก็ถูกข่มขู่คุกคามหรือข่มเหงรังเก (แม้กระทั่งในกรณีของผม ทางฝ่ายกองทัพก็ทำการออกหมายเรียกให้กับสมาชิกทุกคนในครอบครัวของผมทั้งหมด) ส่วนคุณประวิตร โรจนพฤกษ์ซึ่งเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี ก็ถูกฝ่ายทหารเรียกตัวไปพบอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องจากการแสดงทัศนคติวิพากษ์วิจารณ์กองทัพไทย
ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยก็ยังคงย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นลางที่ไม่ดีแต่อย่างใดสำหรับประชาชนไทยที่ยังอยู่ในประเทศเช่นกัน ดูเหมือนว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด จะถูกนำมาใช้เป็นผลประโยชน์ทางการเมืองให้กับคนเก่าแก่ซึงคุมประเทศอยู่ แทนที่จะนำไปใช้เพื่อช่วยให้ระบอบประชาธิปไตยในประเทศเกิดความแข็งแกร่งมากขึ้น มันไม่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยเลย ที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทยจะไม่ยอมรับร่างฉบับนี้ เนื่องจากเนื้อหาที่มันมีอยู่ ด้วยเหตุผลที่ว่า มันเป็นหนทางที่จะป้องกันไม่ให้พรรคการเมืองที่แข็งแรง ซึ่งมีทัศนคติไม่เป็นไปตามแนวคิดเดียวกันกับฝ่ายกองทัพ--- โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพรรคการเมืองที่มีความสัมพันธ์กับอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ---- สามารถกลับเข้ามาสู่อำนาจได้ และในเวลาเดียวกัน การเลือกตั้งก็ได้เลื่อนออกไปอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า และถึงแม้ในที่ท้ายสุดแล้ว การเลือกตั้งสามารถเกิดขึ้นจนได้ แต่ผลหรือคะแนนเสียงของมัน ก็อาจจะถูกแปรเปลี่ยนไปพอสมควร เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจว่า ฝ่ายคนเก่าคนแก่ที่คุมประเทศอยู่จะได้รับชัยชนะ เสรีภาพต่างๆ ก็ยังคงถูกเหนี่ยวรั้ง และนักจัดกิจกรรมเพื่อการต่อสู้ก็ยังคงถูกข่มขู่คุกคามต่อไป
ในสภาพแวดล้อมที่ฝ่ายเผด็จการทหารซึ่งควบคุมประเทศอยู่ในเวลานี้ ก็ยังคงมีความขวัญอ่อนอยู่กับเรื่องของการสืบราชสันตติวงศ์ และรวมไปถึงการวิเคราะห์เพื่อกำหนดกระบวนการทางการเมือง เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ผลของมันจะยังคงเส้นคงวากันกับทัศนคติของพวกเขาเอง ใครก็ตามที่แสดงให้เห็นทัศนคติที่ดูเป็นพิษเป็นภัยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และสร้างความรบกวนรำคาญให้กับระบอบของตนเอง ก็จะต้องเผชิญหน้ากับความดุร้ายรุนแรง และเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวผมและครอบครัวของผม ก็อาจจะเกิดขึ้นกับใครต่อใครก็ได้เช่นกัน
ประเทศต่างๆ ในโลกตะวันตกซึ่งแสดงทีท่าอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับ การสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน ก็ยังไม่เต็มใจที่จะทำการลงโทษกับฝ่ายเผด็จการทหารแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เกิดอาการวิตกกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ทางาการเมือง เนื่องจากเกรงกลัวว่า ถ้าหากไปสร้างความโหดห้าวเกินไปกับฝ่ายเผด็จการทหารแล้ว มันอาจจะก่อให้เกิดความเคลื่อนไหว ทำให้ไปกระชับความสัมพันธ์สู่อ้อมกอดกับประเทศจีนใกล้มากขึ้น ดังนั้น ผลที่ออกมาก็คือ การโปรโมทรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยของทางฝ่ายสหรัฐอเมริกา ซึ่งดูเหมือนกับเพิ่มขึ้นนั้น กลับกลายเป็นว่า มันเป็นวาทศาสตร์อันว่างเปล่าไปแทน และรัฐบาลของประธานาธิบดีโอบาม่า ก็กลับไปเอาอกเอาใจกับการร่วมมือทำงานกันกับประเทศที่ไม่ได้ปกครองในระบอบประชาธิปไตย แทนที่จะทำงานเพื่อสิทธิ์ต่างๆ ของประชาชนชาวไทย การตัดสินใจลดเกรดการฝึกการซ้อมรบลงมา แต่ก็ยังจัดทำอยู่ ในโครงการ คอบร้า โกลด์ ซึ่งเพิ่งจะสิ้นสุดไปเมื่อไม่นาน และ การเริ่มมีการสนทนาเกี่ยวกับยุทธวิธีชั้นสูงในระดับพหุภาคีขึ้นมาใหม่ ถึงแม้จะมีการล่วงละเมิดสิทธิ์ของประชาชนเกิดขึ้น ก็เป็นแค่สองตัวอย่างที่ประกอบเหตุผล ตามที่อธิบายให้ทราบมาแล้ว
จนกว่าสังคมนานาชาติจะบังคับให้ฝ่ายเผด็จการทหารของประเทศไทย ต้องรับผิดชอบกับทุกสิ่งที่กระทำมาอย่างเต็มที่เกี่ยวกับการล่วงละเมิดต่างๆ ภายในประเทศ ผมมีความหวาดหวั่นที่ว่า เรื่องราวต่างๆ ที่เหมือนกับของผมนี้ จะผุดขึ้นมาให้เห็นกันอยู่อย่างต่อเนื่อง
-------------------------------------
ความคิดเห็นของผู้แปล:
บทความนี้ เชิญแชร์ได้ตามสบาย เพื่อให้โลกได้ทราบว่า ความผิดเนื่องจากมีความสัมพันธ์กับคนอื่น (Guilty by Association) นั้น กลายเป็นมาตรฐานที่สามารถใช้ในข้อหาการก่ออาชญากรรมในประเทศไทยเสียแล้วโดยปริยาย
เพราะเท่าที่ทราบมานั้น ประเทศเกาหลีเหนือเป็นประเทศเดียวที่ใช้ ข้อกล่าวหานี้ ในการจับกุม ญาติพี่น้องของผู้ถูกกล่าวหากัน