วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 26, 2559

รายการสับ ตระบัดสัตย์ ... “ไม่คิดอยู่นาน” แผล็บเดียวกลายเป็นขอ 'เปลี่ยนผ่าน' 5 ปี แถมปฏิรูปอีก 20





เป็นเพราะ คสช. ตระบัดสัตย์ เลยทำให้มีพวกนั่งห้างออกมา ‘สับ’ กันชักจะถี่

จากที่พูดหลัดๆ “ไม่คิดอยู่นาน” เหลียวหน้าแผล็บเดียวกลายเป็นขอ 'เปลี่ยนผ่าน' อีก ๕ ปี แล้วยังแถมปฏิรูปยี่สิบปี ขนาดสมัยองคมนตรี ธานินทร์ กรัยวิเชียร ขอ ๑๒ ปี ยังโดนยี้ไปไม่รอด นี่ประยุทธ์จะเอา ๒๐ ไหวหรือ

ใครเลยจะนึกว่า กษิต ภิรมย์ เจ้าตำหรับ ‘อาหารดี ดนตรีเพราะ’ ก็ออกมาบริภาษณ์ คสช. กับเขาด้วย

จะเป็นเพราะต้องการ rebrand หรือเหตุด้วยเจ้านายไม่ให้ราคา ฤๅว่าผิดผีผิดไข้ก็แล้วแต่ สิ่งที่อดีตนกหวีดระดับเฮียพูดวันนี้ เจาะไข่ความจริงหลายอย่าง

“อยู่ดีๆ จะมาขอต่ออายุอีก ๕ ปี ช่วงจะลาจากเวที ทั้งที่อยู่มาแล้ว ๒ ปี ไม่มีผลงาน มันจึงเป็นเรื่องไม่มีเหตุผล

รัฐบาลต้องบอกประชาชนให้ได้ว่าที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้าง แล้วจากนี้จนถึงปลายปี ๒๕๖๐ จะทำอะไรอีกบ้าง มีอะไรค้างอยู่อีกหรือไม่ ถ้าประชาชนเห็นด้วยเค้าก็ให้อยู่ต่อ แต่ถ้าไม่มีเหตุผลก็ไม่สมควรอยู่ต่อไป”

(http://www.matichon.co.th/news/48911)

“การร่างกฎหมายสูงสุดของประเทศต้องคำนึงถึงคนส่วนใหญ่ ต้องรับฟังว่ามวลชน กปปส. นปช. เขาต้องการอะไร ไม่ใช่ทำตามความต้องการของตนเอง”

(มีคนกระซิบว่า อ๊ะ กษิตพูดงี้ได้งัย อ้าง กปปส. ไม่เป็นไร อ้าง นปช. นี่ถาม ‘อีติ่ง’ แล้วหรือยัง)

ถึงแม้ว่าสิ่งที่กษิตพูดครั้งนี้พอดีไปสอดคล้องกับที่พ่อใหญ่ ‘บิ๊กจิ๋ว’ ออกมาตั้งโต๊ะแถลงการณ์เตือนทหารรุ่นน้องๆ รีบลงจากอาสน์ร้อนอำนาจแรงเสียเร็วไว




“วันนี้เราได้ให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญมากเหลือเกิน มากจนลืมอะไรต่ออะไรต่างๆหมด” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ ทั้งแถลงด้วยวาจาและแจกจดหมายเปิดผนึกเป็นลายลักษณ์อักษร

“กรณีที่รัฐบาลคสช.จะอยู่ต่อช่วงเปลี่ยนผ่านไปอีก ๕ ปี พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า จะเป็นไปได้อย่างไร บอกหลายทีแล้วว่า คสช. มีภาระหน้าที่แค่ไหน ท่านเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเท่านั้น มีหน้าที่เท่านี้จะขออยู่ต่ออีก ๕ ปีได้อย่างไร

แค่ ๕ เดือนก็ไม่ไหว เพราะตลอด ๒ ปีที่บริหารประเทศก็เห็นแล้วว่าเป็นอย่างไร ยิ่งมีการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ ๒๐ ปี ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ถ้าคสช.อยู่ต่อแล้วอาจจะเหมือนอดีตรัฐบาลที่ผ่านมา ที่เข้ามาได้รับดอกไม้ พอออกไปได้รับก้อนอิฐ”

อดีตนายกรัฐมนตรีและ ผบ.ทบ. เจ้าทฤษฎี ‘ผู้ร่วมพัฒนาประเทศไทย’ สมัยป๋าเปรม ที่เคยคลาดจากแคนดิเดทนายกฯ 'พลังประชาชน' เพราะโดน สมัคร สุนทรเวช แซงหน้า

ออกตัวครานี้ น่าจะเรียกว่าเป็น ‘wake-up call’ กริ่งนาฬิกาปลุกสำหรับ คสช. ก็ได้

นอกเหนือจากบรรยายเรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นของมวลชน กับเสรีภาพเป็นของบุคคลแล้ว “หน้าที่ทหารคือการสร้างความสมานฉันท์ ความปรองดอง ความรักใคร่” พี่จิ๋วสอนน้อง พวกบิ๊กๆ ยุคนี้

“ในฐานะนายทหารรุ่นพี่ขอร้อง คสช.ไตร่ตรองปัญหาประเทศ โดยเมื่อท่านได้ทำหน้าที่รักษาความสงบของบ้านเมืองแล้วก็ควรจะเสียสละอำนาจ ส่งต่อภาระหน้าที่ให้กับคณะกรรมการกลางที่จะมาจากภาคส่วนต่างๆ

ร่วมกันบริหารจัดการให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ภายในปี ๒๕๕๙ เพื่อให้ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”

“ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาพัฒนาโน้น พัฒนานี้ ตื่นเช้าขึ้นมาก็โดนถามนู้น ถามนี้ เรื่องนู้น เรื่องนี้”

(http://www.matichon.co.th/news/49479)

โถ พี่จิ๋วก็ น้องๆ เขาคงเป็นนักพัฒนากันทั้งในจิตใจและสายเลือด ทั้งๆ ที่อาชีพถือปืนกับไม้ก๊อล์ฟไว้คอยรักษาความปลอดภัยให้แก่นักปฏิรูปประเทศไทยก่อนเลือกตั้งก็ตาม

ภารกิจยังไม่หมดอีกมาก เรือดำน้ำก็ยังไม่มา รถถังมีไม่พอใช้รักษาความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีในกรุงเทพฯ (ที่ซื้อจากยูเครนยังส่งไม่ครบ)

นี่เฮียป้อมอุตส่าห์ตรากตรำไปเดินช้อปปิ้งแถวมอสโคว์ โชคดีอาจได้ทั้งเรือดำน้ำและรถถังติดมือกลับมาบ้าง

ที่สำคัญการพัฒนารถไฟด้วย state of the art จากจีน ‘เร็วกลางรางเดี่ยว’ พร้อมให้เช่าผืนแผ่นดินรายรอบอีก ๙๙ ปี

เผลอๆ อยู่ไปจีนเขาอาจปลูกพืชผลอะไรส่งกลับไปบริโภคในแผ่นดินใหญ่ เหมือนที่ปลูกกล้วยบนพื้นที่เช่าในลาว ก็จะทำให้ผืนดินที่เช่าในไทยไม่ว่างเปล่าอีกต่างหาก

แต่ปัญหาอยู่ที่ คสช. ไม่สามารถเพิ่มขีดการพัฒนาได้อย่างใจนึก เพราะติดกึก ติดกักกับเสียงทักวิจารณ์จากพวกเดียวกันนี่แหละ ทำไรได้ คสช. ให้เสรีภาพในการแสดงความเห็นเต็มร้อย (ถ้าเป็นแฟนขลับกัน) อย่างที่บักดอนบอกแก่นานาชาติเอาไว้




ดูแต่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์นั่นปะไร ออกมาวิจารณ์โครงการรถไฟเร็วกลางรางเดี่ยวของ คสช. ละเอียดเกิ๊น

พูดเรื่องเงินค่าก่อสร้างส่วนต่างไม่กี่แสนล้าน จนทำให้โครงการแจ๋วๆ อย่างนี้ขี้เหล่ลงไปเยอะ

“ผมขอเปรียบเทียบค่าก่อสร้างรถไฟไทย-จีนกับรถไฟทางคู่ ขนาดรางกว้าง ๑ เมตร ของมาเลเซีย” นายสามารถแจง

“ปรากฏว่ารถไฟทางคู่ของมาเลเซียขนาดรางกว้าง ๑ เมตร ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า มีราคาถูกกว่ารถไฟไทย-จีน ขนาดรางกว้าง ๑.๔๓๕ เมตร ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเช่นเดียวกัน ถึง ๑๕๗ ล้านบาท/กิโลเมตร หรือคิดเป็น ๓๕% ทั้งๆ ที่มีความเร็วสูงสุดใกล้เคียงกัน”

ดังนั้น “ผมขอเสนอให้รัฐบาลพิจารณาชะลอโครงการรถไฟไทย-จีนออกไปก่อน อย่าฝืนสร้างตามข้อเสนอของจีนเลย” เสียงจากคนกันเองของ คสช. วิงวอน

“และขอให้เร่งก่อสร้างรถไฟทางคู่ ขนาดรางกว้าง ๑ เมตร ให้ครอบคลุมทั่วทุกภาค โดยให้เปลี่ยนระบบขับเคลื่อนรถไฟจากพลังงานดีเซลเป็นพลังงานไฟฟ้า จะทำให้เราได้รถไฟทางคู่ขนาดรางกว้าง ๑ เมตรที่มีขีดความสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูงสุดถึง ๑๖๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง”

(http://www.matichon.co.th/news/50153)

ก็ไม่รู้ คสช. จะชอบฟัง หรือแม้แต่อยากฟังหรือเปล่าเรื่องเขาไม่อยากได้รถไฟเร็วกลางรางเดี่ยวนี่น่ะ เพราะเวลานี้มีเรื่องเก่าเข้ามาซ้ำใหม่อีกแล้ว

จะอะไรเสียเล่าถ้าไม่ใช่เรื่องอาหารทะเลส่งออก ที่เมื่อไม่นานมานี้เขาฟ้องร้องกันในอเมริกา ทั้งห้างคอสโก้และบริษัทเนสต์เล่โดนกลุ่มสิทธิมนุษยชน ‘sued’ ซิวหนัก กล่าวหารับซื้อสินค้าแรงงานทาส

อุตส่าห์ส่งตำรวจไปกวาดล้างแรงงานพม่าตามโรงงานปอกกุ้งแถวมหาชัยแล้วเชียวนา นึกว่าพวกฝรั่งจะลืมกันไปบ้าง ทั้งๆ เมื่ออาทิตย์ก่อนระเห็ดไปให้โอบาม่าลูบหลังถึงกลางทะเลทรายแคลิฟอร์เนีย

ไหงนี่มีข่าวว่าจะห้ามกุ้งไทยเข้าประเทศเสียอีก เหมือนตามมาตบหัวทางอินเตอร์เน็ตนะเนี่ย

“เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง เตรียมบังคับใช้กฎหมายเก่าแก่ ๘๖ ปีที่เพิ่งมีการปรับแก้ใหม่เสร็จหมาดๆ ห้ามสินค้าจากต่างประเทศที่ใช้แรงงานทาสและเด็กในการผลิตเข้าสหรัฐอย่างเด็ดขาด”

เดิมทีนั้นกฎหมายว่าด้วยภาษีศุลกากร ค.ศ. ๑๙๓๐ ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ศุลกากรยึด กักกัน สินค้าที่สงสัยว่าจะผลิตโดยการบังคับใช้แรงงาน และสั่งห้ามนำเข้าในอนาคต แต่มีข้อยกเว้นสินค้าชนิดที่มีความจำเป็นต้องนำเข้าเนื่องจากมีความต้องการบริโภคในประเทศสูง แล้วปริมาณไม่เพียงพอ

ประธานาธิบดีโอบาม่าลงนามเมื่อวันพุธ เริ่มนำออกใช้กฏหมายจัดระเบียบและบังคับใช้ทางการค้าฉบับแก้ไขใหม่ใน ๑๕ วัน สั่งห้ามเข้าอย่างเด็ดขาดสินค้าราว ๓๕๐ ชนิดที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนยื่นหนังสือร้องเรียนไว้ ว่าใช้แรงงานเด็กกับแรงงานถูกบังคับในการผลิต

รายการสินค้าที่จะถูกห้ามเหล่านี้ที่เด่นๆ เป็นที่โจทย์ขานได้แก่ ถั่วลิสงจากตุรกี ทองคำจากกาน่า พรมจากอินเดีย และปลากับกุ้งจากประเทศไทย




รายงานข่าวเอพีระบุด้วยว่าเมื่อปีที่แล้วมีการเปิดโปงอุตสาหกรรมกุ้งปลาของไทยบังคับใช้แรงงานเยี่ยงทาส มีการปราบปรามขนานใหญ่ที่สามารถปลดปล่อยแรงงานที่ถูกกดขี่ได้ราว ๒ พันคน และดำเนินคดีต่อเจ้าของกิจการหลายราย

เดือนเมษายนต่อมา ในสหรัฐพบว่ามีช่องโหว่ของกฎหมายทำให้ไม่อาจสกัดกั้นสินค้าจากแรงงานทาสเข้าสหรัฐได้ ปีนี้จึงมีการแก้ไขกฎหมายให้รัดกุมและประธานาธิบดีลงนามแล้วดังกล่าว

(http://abcnews.go.com/…/obama-bans-us-imports-slave-produce…)

ไม่เพียงเท่านั้น ในราวเดือนมษายนที่จะถึงนี้ทางการสหภาพยุโรปมีกำหนดที่จะประกาศ ‘แบน’ สินค้าอาหารทะเลจากประเทศไทยบนพื้นฐานของการละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกรายก็ได้ หลังจากที่อียูได้ภาคทัณฑ์กิจการอาหารทะเลของไทยเอาไว้เมื่อปีที่แล้ว

ทั้งนี้เพราะว่าประเทศตะวันตกเขาไม่ได้ให้คุณค่าราคาต่อวิธีการแก้ปัญหาของรัฐบาลทหาร คสช. ด้วยปากเป็นหลัก อย่างที่กระทรวงต่างประเทศและทูตไทยในประเทศต่างๆ พยายามเขียนจดหมายไปถึงสื่อเพื่อแก้ต่าง และปัดสวะความผิดไปให้รัฐบาลชุดก่อนๆ

สื่อบางแห่งอ้างถึงกรณีที่นายตำรวจซึ่งทำคดีค้ามนุษย์มุสลิมโรฮิงญาต้องลี้ภัยไปอยู่นิวซีแลนด์ เนื่องจากหวาดกลัวภัยจากกลุ่มอิทธิพลในฝ่ายปกครองและฝ่ายปราบปรามของไทย เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาไม่ไว้ใจวิธีการของรัฐบาล คสช. ที่แก้ปัญหาค้ามนุษย์แบบผักชีโรยหน้า

จึงไม่รีรอที่จะกดดันให้คณะทหารไทยเร่งถอนตัวเปิดให้มีการเลือกตั้ง เพื่อจะได้มีรัฐบาลของประชาชนแท้จริงมารับผิดชอบในการปรับแก้ปัญหาของประเทศให้สอดคล้องครรลองสากลต่อไป