กระทรวงต่างประเทศไทยยุคบักดอนเนี่ยผลงานเยอะเชียว ล้วนแต่เรื่องแก้ตัวให้เจ้านาย รัฐบาลทหารของ คสช. เสียละมาก
เมื่อวานมีถ้อยแถลงออกมาโต้ตอบรายงานสิทธิมนุษยชนประจำปี ๒๕๕๘-๕๙ ของแอมเนสตี้ อินเตอร์แน้ทชั่นแนล (ดูรายละเอียดรายงานได้จาก ‘ประชาไท’ http://prachatai.org/journal/2016/02/64243…)
ว่า “เป็นรายงานที่ไม่สมดุลและไม่ได้คำนึงถึงเนื้อหาจำเพาะของประเทศ พร้อมทั้งไม่ได้สะท้อนพัฒนาการในทางบวกที่เกิดจากความพยายามแท้จริงของรัฐบาลในการปรับปรุงมาตรฐานสิทธิมนุษยชน”
“ในเรื่องของอิสรภาพมหาชน ประเทศไทยสนับสนุนและให้คุณค่าอย่างสูงแก่เสรีภาพในการแสดงออกตามแบบแผนที่นานาชาติปฏิบัติกัน ตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์สามารถวิจารณ์รัฐบาลได้อย่างเสรี”
(http://www.mfa.go.th/…/64840-Thailand's-comments-on-Amnesty…)
โอว พอถึงตรงนี้ มีคนบอกว่าบักดอนตาบอดตาใสแล้วมั้ง เมื่อวานเจ้านายของบักดอนเพิ่งตวาดใส่นักข่าวอยู่หมาดๆ เมื่อผู้สื่อข่าวต่างประเทศถามถึงตัวเลขความเสียหายจากนโยบายจำนำข้าวที่รัฐบาลชุดนี้กำลังไล่บี้อดีตนายกฯ หญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างเมามัน
“ทำไม มันต้องเอาให้ได้ใช่ไหม คุณไปบอกรอยเตอร์ เมื่อวานนี้พูดให้ดีด้วย”
(http://www.matichon.co.th/news/48399)
พูดเสร็จสะบัดตูดขึ้นตึก พาลพาโลไม่หยุดหย่อน อารมณ์ค้างจากการที่รอยเตอร์สัมภาษณ์อดีตนายกฯ ทักษิณที่สิงคโปร์ สับแหลก คสช. ร่าง รธน.เผด็จการ ไร้น้ำยาฟื้นเศรษฐกิจ และเอียงข้างไม่สร้างความปรองดองจริง
ความพยายามลวงล่อประชาชนในประเทศผ่านทางสื่อสายหลัก ดังเช่นที่ใช้งบประมาณของรัฐระดมซื้อโฆษณาเต็มหน้าแรกไทยโพสต์และเนชั่นให้ตีพิมพ์ผังภาพเป้าหมายการอยู่ยาวของ คสช. ทั้งเปลี่ยนผ่าน ๕ ปี และปฏิรูป ๒๐ ปี มาวันนี้สี่หน้าสีหุ้มปกบางบอกโพสต์ นั่นพอทำเนา
การที่กระทรวงต่างประเทศแถลงโป้ปดมดเท็จ ทำไขสือทั้งๆ ที่น่าจะรู้ดีว่าสื่อต่างประเทศเข้ารู้ลึก รู้จริงมากมาย เป็นเรื่องเลวร้ายเกินกว่าเพียงความน่าละอาย
ตัวอย่างของการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยพวกทหารกระทำการ harassments กลั่นแกล้ง ก่อกวน และข่มขู่ผู้เห็นต่าง และผู้ที่ไม่เห็นดีเห็นงามกับ คสช. เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแทบจะประจำวัน
วันนี้เองมีรายงานจากเว็บไซ้ท์ ‘ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน’ แจ้งว่า “ศักดิ์สิทธิ์ กิ่งมาลา หรือ ช.อ้วน แกนนำชมรมคนรักทักษิณอุบลฯ เสียชีวิตที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี จากสาเหตุ เส้นเลือดในสมองแตก ด้วยวัย ๕๒ ปี”
(https://tlhr2014.wordpress.com/2016/02/25/saksit_ubon/)
ซึ่งถ้ามองเผินๆ ก็เป็นเพียงแกนนำเสื้อแดงในภูมิภาคคนหนึ่งเสียชีวิตด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตกเท่านั้น แต่อ่านรายละเอียดอันนำไปสู่อาการ ‘เส้นเลือดแตก’ ด้วยความกดดันจากการที่ถูกทหารเรียกไปปรับทัศนคติบ้าง คอยติดตามเฝ้าดู ไปหาถึงบ้านกดดันห้ามเคลื่อนไหวบ้าง ล้วนแต่ทำให้ผู้ตายเป็นโรคเครียดจัดต่อเนื่องมากว่าปีก่อนเสียชีวิต
ในสังคมประชาธิปไตย การกดดันจนก่อให้เกิดการเสียชีวิตเช่นนี้ ไม่เพียงละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงแล้วยังถือเป็นอาชญากรรมในทางละเมิดที่สามารถฟ้องร้องเอาผิดและเรียกค่าเสียหายจำนวนมากได้
เช่นเดียวกับกรณีของดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธุ์ แห่งศูนย์เอเซียศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ญี่ปุ่น ที่แจ้งผ่านเฟชบุ๊คว่าครอบครัวของเขาในประเทศไทยถูกคุกคามโดยทหาร กดดันเพื่อให้อาจารย์ปวินหยุดการบรรยายทางวิชาการเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทย และหยุดวิจารณ์รัฐบาลทหาร คสช.
อีกทั้งข่มขู่กับพี่สาวว่า ไม่เช่นนั้นญาติพี่น้องของ อจ.ปวินจะได้รับความเดือดร้อน
เรื่องเช่นนี้เป็นข่าวใหญ่กระจายไปทั่วในต่างประเทศเพราะเป็นการละเมิดร้ายแรง เพียงวันเดียวมีสื่อหลักๆ อย่างน้อยสามแห่งเสนอข่าวกันพรึ่บ
ไม่ว่าจะเป็น Asian Correspondent หรือ Asia Sentinel นอกเหนือจาก Khaosod English อันเป็นส่วนหนึ่งของเว็บข่าวที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในประเทศไทย
(https://asiancorrespondent.com/…/exiled-thai-academic-accu…/ หรือ http://www.asiasentinel.com/…/thailand-junta-threatens-exi…/ และ http://www.khaosodenglish.com/detail.php?newsid=1456378438)
ทั้งๆ ที่มีรูปทหารชุดพรางไปพบพี่สาวของ อจ. ปวินเป็นเครื่องยืนยัน ทว่าโฆษก คสช. พ.อ.วิธัย สุวารี กลับทำซื่อบื้อ ไขสือว่าไม่รู้เรื่อง บอกกับ Jerome Taylor นักข่าวต่างประเทศคนหนึ่งว่า
“Thai junta spox Winthai tells us he has no info to give on whether family of exiled academic Pavin Chachavalpongpun has been summoned.”
ยิ่งกว่านั้น ข่าวที่เป็นการตบหน้า คสช. และกระทรวงต่างประเทศไทยจังๆ ทั้งต่อแบบบทหยดย้อยที่ว่า “ใช้อำนาจเผด็จการเพื่อสร้างประชาธิปไตยยั่งยืน” หรือวาทกรรม “เรารักษาสิทธิมนุษยชนสากลอย่างเคร่งครัด”
เกิดขึ้นเมื่อองค์การสหประชาชาติส่งตัวแทนไปขอพบและสัมภาษณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงบ้าน
น.ส.ยิ่งลักษณ์พร้อมด้วยกลุ่มผู้บริหารพรรคเพื่อไทย อาทิ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาว์อินทร์ นายภูมิธรรม เวชยชัย นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล และนายชูศักดิ์ ศิรินิล “ได้ให้การต้อนรับตัวแทนจากสหประชาชาติ ซึ่งนำโดย H.E. Miroslav Jenca ผู้ช่วยเลขาธิการใหญ่สหประชาชาติฝ่ายการเมือง H.E. Luc Stevens ผู้ประสานงานสหประชาชาติและผู้แทนสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย”
(http://www.matichon.co.th/news/48899)
เช่นนี้อาจจะเนื่องมาจากเหตุที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เคยได้รับเชิญจากข่ายงานรัฐสภาอียูให้ไปแสดงวิสัยทัศน์ ชี้แจงและให้รายละเอียดในประเด็นปัญหาทางการเมืองและกระบวนการตุลาการในประเทศไทย แต่ คสช. ไม่อนุญาต
คราวนี้ถึงทียูเอ็นต้องการพูดคุยกับอดีตนายกฯ หญิงบ้าง จึงเป็นฝ่ายเดินทางไปพบเธอในประเทศไทยเอง
“เพื่อทราบข้อมูลสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย การพัฒนาประชาธิปไตย และกระบวนการที่นำไปสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย
โดยทางประชาคมโลกต้องการเห็นประเทศไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับหลักสากล และคืนอำนาจอธิปไตยกลับสู่ประชาชนชาวไทย”
วิถีเผด็จการอาจปลิ้นปล้อน เลี่ยงบาลี และโป้ปดต่างๆ นานา แต่ท้ายที่สุดแล้วจะต้องมีใครไปล้วงเอาความจริงออกมาจนได้