ข้าราชการประจำไทยเดี๋ยวนี้ แหล แถไถ เอาอย่างเจ้านาย ข้าวอันตรธานไปจากสต็อคออกเป็นเบือ ดันบอกไม่หาย อาจจดผิด
ลงบัญชีผิดพลาดประสาอะไรเกือบสี่แสนตัน นี่ถ้าอยู่โรงงานปลากระป๋อง นอกจากไล่ออกแล้วยังต้องชดใช้เจ็ดชั่วโคตรนะเธอว์
กรณีที่กระทรวงการคลังแจ้งว่าข้าวในโครงการรับจำนำข้าวขาดหายไปจากโกดัง ๓๙๐,๐๐๐ ตันนั้น น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ชี้แจงว่า “ยังไม่ได้ข้อสรุปทางบัญชี” ต้องรอทั้งคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาด (อตก.) มาร่วมหารือกันก่อน
แต่คุณหล่อนก็ฟันธงไปแล้วว่า ‘ข้าวไม่หาย’ พยายามแก้ต่างล่วงหน้าข้อกังขา เรื่องที่ว่าข้าวเสื่อมในสต็อคโครงการจำนำ คสช. เอาไปขายใช้ทำปุ๋ย ราคาถูกสุดๆ อาจหลุดไหลออกไปสู่ตลาดผู้บริโภคได้ไหม ส่วนต่างเงินทอนมันเยอะอยู่นา
(ลองดูวิธีแจงความซับซ้อน “เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่าจะไม่มีข้าวหลุดออกไป” โดย พล.ต.ต.ไกรบุญ ทรวดทรง ประธาน อคส. ได้จากที่นี่ http://www.matichon.co.th/news/33129)
แต่ว่าอดีต รมช. พาณิชย์รัฐบาลก่อนกลับมองเห็นทะลุปรุโปร่งกว่า
“มีข่าวลือสะพัดวงการว่าเซอร์เวเยอร์ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลคุณภาพข้าวและต้องรับผิดชอบชดใช้ส่วนต่างของราคาประมูล (ตันละ ๕,๐๒๐ บาท) กับราคาตลาด (ตันละ ๑๒,๓๐๐ บาท) ถูกเจ้าหน้าที่สั่งห้ามไม่ให้เข้าตรวจสอบหรือเกี่ยวข้องกับการขนย้ายครั้งนี้อย่างเด็ดขาด โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของผู้ใหญ่...
บางกระแสก็บอกว่าเป็นคำสั่ง คสช.จริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริงก็จะขัดกับนโยบายปราบโกงของรัฐบาลเอง และนโยบายเขตปลอดคอรัปชั่น (Zero Corruption) ของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเน้นการทำงานที่โปร่งใสคือต้องสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน”
นายยรรยง พวงราช มีข้อเสนอแนะสองสามอย่าง หนึ่ง ทำไมไม่ทำการตรวจสอบคุณภาพข้าวอย่างละเอียด ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างเท่านั้นไม่พอยืนยันได้ว่าข้าวที่เอาไปผลิตปุ๋ยทั้งหมดเป็นข้าวเสื่อมคุณภาพจากคลังสินค้าที่นำออกขาย แต่การส่งมอบชักช้า ยืดยาด นี่ก็จะติดตรุษจีน
อีกอย่างที่นายยรรยงตั้งข้อสงสัย ว่าทำไมต้องใช้ข้าวสารทำปุ๋ย ไม่เคยเห็นมาก่อน (หรือว่ากระทรวงพาณิชย์ยุค คสช. นี่เทคโนโลยี่ล้ำเลิศ)
ทั้งนี้เพราะ “กระบวนการผลิต ประสิทธิผล และความคุ้มค่าก็น่าจะตํ่ามาก เพราะข้าวสารเมื่อนำไปหมักแล้วจะมีเซลลูโลสหรือเซมิเซลลูโลสตํ่ามาก เทียบกับเศษพืช เช่น ฟางและซังข้าวหรือข้าวโพด มูลสัตว์ ขี้ค้างคาว กระดูกหรือซากสัตว์ ซึ่งให้ปุ๋ยสูงกว่า หาได้ง่าย และราคาถูกกว่าข้าวสารมาก”
(http://www.matichon.co.th/news/33201)
นั่นเป็นความคืบคลานของรายการ ‘ฟัน’ ยิ่งลักษณ์ ในส่วนเกี่ยวโยงกับคณะกรรมการปิดบัญชี (อันมีนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานฯ) ที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงอยู่ไม่เบา ไหนจะสรุปตัวเลขค่าเสียหายไม่ลงตัว ไหนจะเกิด ‘ข้าวหาย’ ทั้งๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ คสช. เข้มข้น
นี่แหละนะท่านผู้ชม มันทำให้เกิดข้อกังขามากอยู่ ว่าโครงการรับจำนำข้าวที่มาสดุดหยุดตอนรัฐประหาร ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ แล้วหลังจากนั้นก็มีการขย่มกันใหญ่ มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวหอกยื่นฟ้อง นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม
อ้างว่าทำความเสียหายให้รัฐขาดทุนย่อยยับหลายแสนล้าน แถมการขายข้าวจีทูจีไม่โปร่งใส อีกทั้งข้าวในสต็อคเน่าบ้าง หายบ้าง ผู้ฟ้องชงครบเครื่องกาแฟปนเม็ดมะขามถูกใจ ปปช. ที่รับลูกต่อไปสอย ตอนนี้คดีอยู่ที่ศาลอาญานักการเมือง ทว่าผู้ถูกกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เลือกตั้ง สู้ยิบตา
ผลเบื้องต้นปรากฏว่า ‘คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ความรับผิดชอบทางละเมิด’ สรุปออกมาเป็นสองประเด็นว่า
เรื่องส่วนต่างราคารับจำนำข้าวเกวียนละ ๑ หมื่น ๕ พันบาท กับราคาตลาดปกติเกวียนละ ๙ พันบาทนั้น นายจิรชัย มูลทองโร่ย ประธานฯ แถลงว่า “ถือเป็นประโยชน์ประชาชน กรรมการก็ไม่ได้คิดเป็นความเสียหาย
การดำเนินการของส่วนราชการถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบาย เป็นข้าราชการดำเนินการก็ไม่ถือว่าเป็นความเสียหาย ในส่วนเรื่องดอกเบี้ยที่ทางคณะกรรมการปิดบัญชีคิดดอกเบี้ยด้วยนั้น แต่กรรมการเราคิดว่าไม่ใช่การค้า แต่เป็นการดำเนินงานราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขประชาชนก็ไม่คิดเป็นความเสียหาย”
อีกประเด็น ในเรื่อง ‘พฤติการณ์ดำเนินการ’ ในการกำกับดูแลติดตาม ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) นายจิรชัยบอกว่า “ก็มีความผิด” สอดคล้องกับที่คณะกรรมการปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ชี้มูลไว้
เวลานี้ก็ลุ้นกันตัวโก่ง (ดูเหมือนฝ่ายที่ต้องการฟัน ลุ้นมากกว่ากลุ่มผู้ถูกกล่าวหา) ว่าปณิธานที่ ปปช. ตั้งไว้ให้ฟาดฟันอดีตนายกฯ หญิงราบคาบ นอกจากไม่ให้ผุดเกิดทางการเมืองแล้ว ยังเล่นงานด้วยการตบทรัพย์ เรียกค่าเสียหาย ๕ แสนล้านด้วย
แต่การณ์กลับทำท่าจะไม่เป็นดังหวัง ทั้งๆ ที่พยายามสงบเสงี่ยมมาสองปี มาบัดนี้ดูเหมือน น.ส.ยิ่งลักษณ์จะได้รับความนิยมมากกว่าตอนยังดำรงตำแหน่งนายกฯ (ตอนนั้นเห็นมีเสียงด่าระงม เดี๋ยวนี้เธอไปไหนมีประชาชนแห่ไปต้อนรับ ไปให้กำลังใจกันขรม)
กระทั่งสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อนบ้านในสิงคโปร์อย่าง ‘เดอะสเตรทไทมส์’ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึง
(http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php…)
หลังจากสัมภาษณ์กรณีคดีจำนำข้าว ซึ่งยิ่งลักษณ์ยืนกรานว่าเป็นโครงการช่วยเหลือประชาชนแท้จริง อีกทั้งตัวเธอก็เปิดทางให้รัฐบาลทหารบริหารประเทศอย่างเต็มที่
“ตัวเองไม่ได้คุกคามรัฐบาลรัฐประหาร เพราะไม่มีตำแหน่งอะไร เป็นแค่คุณแม่ลูกหนึ่ง ฉะนั้น ไม่ต้องหวาดหวั่นอะไร” แล้ว
“สเตรทไทมส์ รายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าเดินทางไปยังภาคเหนือหรือภาคอีสาน ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ก็ยังมีประชาชนเข้ารุมล้อมชื่นชมเสมอ”