จากเหตุ “ระยองซวย!!” (ของจริงยาวกว่านี้) ทำให้เข้าใจแจ่มแล้วว่าทำไมไทยจึงรอดโควิดมาได้ดียิ่งถึงจุดนี้
เพราะคนส่วนใหญ่ระแวงระไวกันมาก ถึงขั้น ‘ตื่นตูม’ เช่นที่เป็นตอนนี้ การล็อคดาวน์มีส่วนช่วยไม่น้อย แต่ถ้าประชาชนไม่ยี่หระ
ก็มิคสัญญีอย่างที่เห็นในอเมริกา
ในอเมริกา โควิดกลับมาระลอกสองหนักกว่าเก่า
นอกจากลอส แองเจลีส ซึ่งใช้มาตรการเข้มงวดกว่าเพื่อนก็ยังไม่รอด
เนื่องจากคนออกไปฉลองเทศกาลกันใหญ่ ตั้งแต่ช่วงวันทหารผ่านศึกถึงวันชาติ
หลังจากที่อึดอัดมานาน
แต่ในที่อื่นๆ ไม่ว่าฟลอริดา อริโซน่า
เท็กซัส โอกลาโฮม่า ล้วนเป็นเพราะเชื่อผู้นำชาติบรรลัยทั้งนั้น
มลรัฐเหล่านั้นและอีกหลายแห่งทาง ‘มิดเวสต์’
ตะวันตกกลาง มีผู้ว่าการรัฐที่เห็นว่าความร้ายแรงของเชื้อโรคไม่เท่าไหร่
การตื่นตูมแย่กว่า
อย่างกรณีโอกลาโฮม่าที่ประธานาธิบดีทรั้มพ์ไปจัดชุมนุมการเมือง
‘rally’ ของพรรครีพับลิกันทั้งๆ
ที่ฝ่ายสาธารณสุขท้องที่ทัดทานแล้วว่าอย่าเลย ผลที่สุดแม้จะมีคนไปไม่มาก
แค่ระดับพัน เพียงอาทิตย์กว่าต่อมา พบว่าการติดเชื้อเพิ่มสูงปรี๊ด
กระทั่งตัวผู้ว่าฯ เองขณะนี้ก็ติดเองแล้ว
ฉะนี้การที่คนระยองและจังหวัดอื่นๆ
ซึ่งมีคนในพื้นที่ไปพักอยู่ที่นั่นในช่วงทหารอียิปต์ติดเชื้อไปเดินเพ่นพ่าน
ร้องแรกแหกกระเฌอกันขรม น่าจะเป็นการตื่นตูมที่สมเหตุสมผลอยู่
ส่วนว่าตื่นแล้วทางการและหน่วยงานรัฐจัดการแก้ปัญหาอย่างไรอีกเรื่อง
โรงเรียนในระยอง ๒๗๔ แห่ง (ตัวเลขอัพเดทจาก
Sa-nguan Khumrungroj) ถูกสั่งปิด
สามเสนวิทยาลัยถูกสั่งปิดเพราะมีเด็กนักเรียนคนหนึ่งไปพักโรงเดียวกับทหารอียิปต์
บุรีรัมย์ก็ปิดโรงเรียนแห่งหนึ่งเช่นกันเพราะมีผู้ปกครองไปเยี่ยมเด็กที่ระยอง
พิษณุโลก โคราช
ตั้งการ์ดคุมเข้มบุคคลเสี่ยง ถึงขั้นบอกว่าใครที่มาจากระยอง (และกรุงเทพฯ)
ต้องกักตัว “ไม่มีวีไอพี” เหล่านี้หลายคนเห็นว่าเป็นการ ‘panic’
จนเกินเหตุ ทำให้เศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้วจะยิ่งหนักหนาสากรรจ์ไปใหญ่
ใช่ละ
อย่างระยองซึ่งเป็นจังหวัดเศรษฐกิจชั้นนำแห่งหนึ่งของไทย ทั้งด้านการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม
เวลานี้กำลังจะชงัก
ปกติอาทิตย์หน้าจะคึกคักมีการจองสถานที่พักตากอากาศกันไว้เต็มเพียบ
กลับถูกแจ้งยกเลิกกว่า ๙๐% เพราะความกลัวโควิด
โรคระบาดอย่างนี้กลัวไว้ก่อนน่ะดีกว่าทำเก่ง
บ้างว่า “ถ้าไม่ตายเพราะโรคก็อดตาย” แน่นอน เสี่ยงกับโรคยังพอมีโอกาสรอด
แต่ทำมาหากินไม่ขึ้นก็เหมือนทรมานไปจนกว่าจะตาย ไม่รู้นานเท่าไร
แต่ว่าถ้าตายกันมากๆ แบบอเมริกา ก็ทำมาหากินยากเช่นกัน
ประเด็นอยู่ที่เมื่อโรคระบาดขนาดนี้ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบบริหารจัดการอย่างไร
ฝ่ายแพทย์ย่อมแนะทางที่จะสงวนชีวิตมากที่สุด
ฝ่ายบริหารก็ต้องฟังเขาแล้วเอามาปรับใช้โดยไม่ให้กระทบด้านใดด้านหนึ่งมาก ไม่ใช่สักแต่บอก
“ก็ผมรับผิดชอบแล้วไง”
ในสหรัฐคนติดเชื้อ คนป่วย คนตาย มากกว่าระลอกแรกเป็นเท่าตัว
เพราะทำเนียบขาวพยายามทัดทานฝ่ายแพทย์ อ้างว่าจำกัดจำเขี่ยมากไป ที่มหาวายร้ายก็ตรงดันไปเถียงหมอ
เป็นแค่ประธานาธิบดีเสือกรู้ดีเรื่องโรคกว่าหมอ แล้วเวลาจะตายใครล่ะดูแลรักษา
นั่นคือการเอาปัจจัยการเมืองมาเป็นตัวตั้งในการบริหารจัดการโรคระบาด
รัฐบาลประยุทธ์ (จันทร์อะไรนะ) ก็เช่นกัน
ต่ออายุคำสั่งสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งที่จำนวนผู้ติดเชื้อเกือบศูนย์แล้วเป็นเดือน
เสร็จแล้วไอ้อำนาจฉุกเฉินนี่ก็ใช้กับผู้เห็นต่างทางการเมืองทั้งนั้น
ที่ระยองนี่เองเห็นจะจะ
เมื่อมีเสียงด่ารัฐบาลอย่างหนักว่าสั่งให้ประชาชนอย่าการ์ดตกทุกวี่ทุกวัน
แต่เจ้าหน้าที่รัฐเองไม่ยอมยกการ์ดกับผู้ได้รับสิทธิพิเศษทางการทหารและการทูต
เมื่อเกิดเรื่องผู้มีอภิสิทธิ์เป็นพิษ ก็โยนกลองกันเป็นว่าเล่น
จากกองทัพ ไปสาธารณสุข ไปสนามบินอู่ตะเภา
ไปทัพอากาศ ไป ศบค. ไปถึงนายกฯ แล้วนายกฯ ก็โยนใส่สื่อ แค่ติงนะว่า “กระพือข่าวจนวุ่น...ก็ลดลงหน่อยซิถ้าคุณโหมกระพือกันอยู่แบบนี้ก็เกิดกันแบบนี้ทุกที่”
วาสนา นาน่วม จับคำได้พอดี
‘I-5’ สิทั่น รีบลงไประยอง ทำ ‘มีนิฮ้าร์ท’ วุ้ยมีพวกเจ๊พวกอี๊ไปกรี๊ดกันใหญ่ ไปถามแม่ค้าข้าวแกงในตลาดขายดีมั้ย
ป้าแกพาซื่อว่าขายไม่ดีเพราะนายกฯ มาเขาปิดตลาด ตู่ให้ไปพันนึงบอกเหมาเข่ง
แม่ค้าดีใจ เป็นข่าวใหญ่ให้วาสนาเอามาเล่น
หลังฉากที่จัดปรากฏนักกิจกรรมประชาธิปไตยของท้องที่สองคนไปยกป้ายคำว่า
‘การ์ดอย่าตกพ่องง’ และ ‘อยู่ต่อก็ฉิบหายออกไปไอ้สัส’ โดนตำรวจโดดล็อคคอยัดใส่รถเอาไปควบคุมที่สนามยิงปืนของหน่วยปฏิบัติการพิเศษอยู่หลายชั่วโมง
ภายหลังปล่อยตัวหนุ่มทั้งสองพร้อมหลายข้อหา
“ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ และหลบหนีการจับกุม”
อันนี้ต้องยกป้ายใหม่ ‘หลบหนีพ่อง’ เข้าไปกลุ้มรุมจับตัวเขามีคลิปฟ้องเห็นๆ ยังมั่วตั้งข้อหาซะงั้น ไม่ตรงตามหลักการและกฎหมายแม้แต่น้อย
Watana Muangsook
ชี้ “ป้ายดังกล่าวถือเป็นเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๔ ถ้อยคำที่ปรากฏในป้ายทั้งสองไม่เป็นความผิดต่อกฎหมายอาญา”
และ Piyabutr Saengkanokkul
ว่าการจับกุม “ไม่มีกฎหมายให้อำนาจกระทำ
ต่อให้ไปควานหากฎหมายมาอ้าง
ก็เอากฎหมายนั้นมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ ใช้อย่างบิดผัน เพื่อจำกัดการแสดงออก
(อีกทั้ง) ใช้อำนาจไปโดยเกินกว่าเหตุ ไม่ได้สัดส่วน” นี่แหละเหตุการณ์ระยอง ‘ตื่นตูม’ ก็ส่วนหนึ่ง มันมาพร้อมกับการ ‘ตื่นตัว’
ที่การสืบทอดอำนาจรัฐประหาร
ทำให้เกิดการใช้อำนาจสะเปะสะปะ อย่างไม่เห็นหัวประชาชน หากไม่ใช่การแสดงออกว่ารัก
ชอบ ชื่นชมและเอ็นดู ‘ไอตู๊บ’