หลัดๆ เมื่อสองสามวันก่อน ธนาคารโลกเพิ่งเตือนว่าอย่าได้ดี๊ด๊าเกินไปนักกับความสำเร็จรับมือวิกฤตไวรัสโคโรน่า
“สามารถควบคุมการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยไม่พบการติดเชื้อภายในประเทศติดต่อกันเกิน ๑ เดือน” และผู้เสียชีวิตคงที่แค่ ๕๘
ราย
“แต่ก็ต้องแลกกับผลกระทบทางเศรษฐกิจมหาศาล
คาดว่าปีนี้ ‘จีดีพี’ ลดลงอย่างน้อย
๕% คนไทยกว่า ๘.๓ล้านคนเสี่ยงตกงาน”
การส่งออกที่เป็นหน้าเป็นตาให้เศรษฐกิจมหภาคจะหดตัว ๖.๓% ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนซึ่งเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า
ก็จะลดลงด้วยเหมือนกัน ๓.๒%
แล้วยัง “จำนวนผู้มีรายได้รายวันต่ำกว่า ๕.๕ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๖๙ บาท) ต่อวัน จะเพิ่มจำนวนขึ้นถึงเท่าตัว จาก ๔.๗ ล้านคนในไตรมาสที่ ๑ ของปี ๒๕๖๓ เป็นประมาณ ๙.๗ ล้านคนในไตรมาสที่
๒” แล้วดีขึ้นหน่อยในไตรมาส ๓ ลดเหลือ ๗.๘ ล้านคน
นักวิจัยของธนาคารโลกประมาณการเศรษฐกิจไทยหลังโควิด-๑๙
“จะกลับมาฟื้นตัวในระดับเดียวกันกับช่วงก่อนโควิด ต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๒ ปี” โดยพึ่งปัจจัย
‘กำลังซื้อของครัวเรือน’ บวกกับการเข้าไปช่วยอุ้มผู้ประกอบการย่อย
ถึงอย่างนั้น การเติบโตเศรษฐกิจไทยในปีหน้า
๒๕๖๔ อย่างดีก็แค่ ๔.๑% แล้วหดลงไปอีกในปีต่อไป เป็นโตเพียง
๓.๖% ในปี ๒๕๖๕ นายอาวินด์ แนร์
นักวิจัยยูเอ็นประจำไทยแนะด้วยว่า จะกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิดได้ด้วยการเพิ่มอุปสงค์ในประเทศเท่านั้น
เพราะการส่งออกและการท่องเที่ยวที่เคยเป็นพระเอกสำหรับเศรษฐกิจไทย
คงจะไม่กลับมาคึกคักเหมือนเก่า แม้จะมีการเสนอความเห็นก่อนหน้านี้ไว้ว่า หลังโควิดไทยเป็นประเทศน่าลงทุนที่สุด
แต่ก็คงยากเนื่องจากฐานการผลิตเพื่อส่งออก ปิดและย้ายออกไปแล้วมากมาย
ภาพลักษณ์เศรษฐกิจไทยมีแต่ความเศร้ารุมเร้าขนาดนั้น
ทั่นผู้นำจากทีมสืบทอดอำนาจ คสช.ยังอุตส่าห์เตรียมการซื้ออาวุธให้ทหารอีกขนานใหญ่ในปีหน้า
อ้างว่าห่วงใยลูกหลาน (ที่เป็นกำลังพล) จะขาด “ยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยป้องกันตัว
...ในขณะที่อาวุธต่างๆ ร้ายแรงมาก ก็อาจทำให้เกิดความสูญเสียของลูกหลานของพวกเราได้”
ทั่นผู้นำลืมคิดไปว่าลูกหลานกำลังพลกับลูกหลานที่จะต้องไปช่วยผ่อนหนี้ต่อไป หลังจากพวกลุงๆ
ที่ครองเมืองพากันเท่งทึงหมดแล้วนั้น จำนวนมากน้อยกว่ากันกี่สิบกี่ร้อยเท่า
ส่วนที่อ้างเรื่อง “ปัจจุบันมียุทโธปกรณ์เก่าประมาณ
๗๐-๘๐%”
ถึงเวลาต้องอัพเกรดและเปลี่ยนเป็นของใหม่ อวดเขื่องอ้างข้างๆ คูๆ “ขอให้เข้าใจด้วย...การจัดซื้อยุทโปกรณ์นั้นไม่ใช่ว่าสั่งวันนี้แล้วได้เดือนหน้า”
ต้องจองต้องสั่งให้ผลิตใหม่ “ไม่ได้สร้างไว้รองรับขายหน้าร้าน”
ทีอย่างนี้อวดเก่งทางการค้า
อวดวิธีการเป็นผู้ซื้อที่ดี แต่วิธีการขายที่มีประสิทธิภาพ ฝึกมาแล้ว ๕-๖ ปี
ยังไม่เห็นมีอะไรได้เรื่องสักอย่าง เก่งแต่กับเด็ก สั่งโน่นสั่งนี่
ตั้งแต่เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมไปถึงต้องอยู่แต่ในห้องเรียนเท่านั้น
อย่าออกมาเพ่นพ่านเรียกร้องอะไร
ส.ส.พรรคก้าวไกลฝ่ายค้านอภิปรายตักเตือน “กระทรวงกลาโหมมีภาระต้องจ่ายงบประมาณผูกพันทุกโครงการสูงถึง
๑๗๓,๑๔๔ ล้านบาท
เป็นความเสี่ยงทางการคลังที่ต้องพึงระวัง รัฐบาลใดเข้ามาก็ต้องจ่าย” โดยเฉพาะงบผูกพันซื้ออาวุธ
ตั้งเกือบ ๔,๔๐๐ ล้านบาท
ไหนจะจัดงบฯ ‘ลวงพลาง’ ของกลาโหมตั้งไว้ ๒๒๓,๐๐๐ ล้านบาท
ดูเหมือนว่าลดลงไปจากปีก่อน ๘,๒๐๐ ล้าน ที่ไหนได้ มีงบฯ
โอนคืนให้กลาโหมสำหรับปีหน้าอีก ๑ หมื่นล้านบาท ก็แสดงว่าเงินที่ฝ่ายทหารจะได้แบ่งเค้กกินกัน
ปีหน้ามากกว่าปีนี้
เสร็จแล้วไงรู้มั้ย
เฮียเค้าใช้ชั้นเชิงเต้นแย้ปๆ ล่อหลอกให้ตายใจ ประชาชนมัวแต่พะวงกับการจัดซื้อล้อตใหญ่
งบฯ ปีหน้า พอเผลอแพล้บ กองทัพของน้องพี่ คสช. แอบซื้ออาวุธเล็กไปแล้วกว่า ๖๐๐
ล้านบาท ขอบใจ อานนท์ นำภา
ไหวทัน เอามาปูดให้รับรู้กัน
เมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งซื้อปืนซุ่มยิงไป ๒๘
กระบอก พร้อมกระสุนและปืนขนาดอื่นๆ เดือนนี้เอาอีก ๕๘ กระบอก ราว ๒๑ ล้านบาท พ่วง “ปืนเล็กยาวขนาด
๕.๕๖ ม.ม.ราคารวม ๓๕๐ ล้าน กับปืนเล็กสั้นขนาดเดียวกันอีก ๒๗๓ ล้านบาท
(https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=4022190121155687&id=100000942179021 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_2250905)
ตู่อ้างไว้ตอนหนึ่ง “ภารกิจของเราคือป้องกันอธิปไตยตามแนวชายแดน
แม้จะเกิดหรือไม่เกิดขึ้น” และ “วันนี้เทคโนโลยีต่างๆ ก้าวไกล ยุทโธปกรณ์ที่ไม่ทันสมัยอาจจะเป็นปัญหากับเราต่อไปในอนาคต”
แล้วไอ้พวกเล็กสั้น
เล็กยาวที่กำลังลุยซื้อนี่ล่ะ เอามาไว้กระชับพื้นที่กับพวกเด็ก
เหมือนที่เคยทำกับเสื้อแดงละหรือ