ไหนลองอ่านใจ ‘กรรณิกาโพล’ ดูสักครั้งเป็นไร สำนักหยั่งเสียงที่แปลงร่างมาจาก
‘เอแบ็ค’ แล้วเรียกตัวเองว่า ‘ซูเปอร์’ แต่ส่วนใหญ่มักจะอ่านผลสำรวจและตีความ สะท้อนความเห็น/จุดยืนของผู้อำนวยการ
อย่างเช่นล่าสุด โพลวันที่ ๕ กรกฎา
ดร.นพดลบอกว่า “ผลโพลชี้ให้เห็นว่า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใดๆ
กลับกลายเป็นผลดี” เนื่องเพราะพรรคการเมืองที่เป็นฐานเสียงให้แก่ประยุทธ์ขณะนี้ “กำลังจะไปไม่รอด”
ทั้งพรรคหลักและพรรครอง
โพลของกรรณิกาถามตัวอย่างผู้ออกเสียงว่าถ้ามีเลือกตั้งวันนี้จะเอาพรรคไหน
จำนวนมากที่สุดเลือกพรรคก้าวไกล ตามมาไม่ห่างคือพรรคเพื่อไทย
จากนั้นถึงไปประชาธิปัตย์และพลังประชารัฐ “ในขณะที่พรรคภูมิใจไทยได้ร้อยละ ๖.๐” ห้อยท้าย
พรรคที่โพลเลือกเหล่านั้นล้วนได้คะแนนไม่มาก
จากสูงสุด ๑๖.๗% ลงไป ๑๕.๗% และ ๘.๗ กับ ๘.๓ ตามลำดับ แต่คะแนนมากที่สุดสำหรับพรรคการเมือง ๔๑.๒% ไปตกแก่ “พรรคที่ทำการเมืองใหม่” โดยไม่เจาะจงชื่อพรรคอะไร
นพดลสาธยายด้วยว่าพรรคชนิด
‘การเมืองใหม่’ “ที่ประชาชนกำลังอยากลอง
ถึงแม้ยังไม่เคยทำงาน แต่พูดเก่ง มีลีลาโดนใจ” นี้จะเป็นฐานการเมืองแบบ ‘นิวนอร์มอล’ ต่อไป “ที่ไม่วุ่นวาย ไม่แย่งตำแหน่ง
ไม่ทรยศ ไม่เสร็จนาฆ่าโคถึก แต่ตั้งใจทำงานจริง”
มันไปลงอยู่ที่ปัญหาแก่งแย่งและกัดกันภายในพรรคที่
คสช.เป็นตัวตั้ง แล้วดูดเอาจากนักการเมืองที่เคยอยู่ในวงจรอุบาทว์และถูกทหารยึดอำนาจคว่ำ
ไปรวมกันที่ ‘พลังประชารัฐ’ เกิดเป็นคอกที่เต็มไปด้วย ส.ส.กร่าง ส.ส.ป่วน ส.ส.เขี้ยว และพวกสันหลังหวะ
ส.ส.เหล่านั้นผลงานโดดเด่นกว่า
สว.ตู่ตั้ง ๒๕๐ คนอยู่หน่อยที่คอยเผชิญหน้าและหาเรื่องกับพรรคฝ่ายค้าน เบี่ยงเบนความสนใจ
ไม่ให้ประชาชนระแวงการบริหารงานห่วยแตกของรัฐบาล ระหว่างที่มีการจับจ่ายใช้เงินงบประมาณอย่างมือเติบสุรุ่ยสุร่าย
ด้าน
สว.นั้นนอกจากจะคอยยกมือให้ประยุทธ์เป็นนายกฯ
อีกหากเกิดการยุบสภาคล้อยตามเสียงเรียกร้องของโพลกรรณิกาก่อนหน้านี้
แล้วยังได้รับการจัดวางให้เป็นกำลังหลักในการออกแบบระเบียบกฎหมาย ให้
คสช.ได้สืบอำนาจต่ออีกอย่างน้อยสองสมัย
ความสำเร็จจากการยึดอำนาจ
ได้ครองเมืองฟรีๆ มาแล้ว ๕-๖ ปี ไม่ปรากฏผลงานเป็นชิ้นเป็นอันแก่ประชาชนและบ้านเมือง
เว้นแต่กำหราบพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอยู่หมัด เป็นความเลวร้ายที่ทำให้
ส.ส.ลิ่วล้อกร่างและกวน กระทั่งเขี่ย ‘สี่กุมาร’
ประชารัฐสำเร็จ
การตั้งให้
สว.หลายคนที่เป็น ‘ลิ่วล้อ’ คสช.อย่างสุดลิ่ม เช่น วันชัย สอนศิริ ถวิล เปลี่ยนศรี บวรศักดิ์
อุวรรณโณ พรทิพย์ โรจนสุนันท์ กล้าณรงค์ จันทร์ทิก วิชา มหาคุณ และ เสรีวงษ์มณฑา
เป็นกรรมการในคณะปฏิรูปประเทศแขนงต่างๆ ก็เพื่อกระชับไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามได้ลืมตาอ้าปาก
จนป่านนี้
สว.สายทหารที่บางคนก็ยังเหลิงตัวว่ายังอยู่ในอำนาจเบ็ดเสร็จที่สืบทอดมา สมเจตน์
บุญถนอม เป็นหนึ่งในบรรดาพวก ‘ตู่ตั้ง’
ที่คิดว่าพวกตนยังครองเมืองอย่างเต็มพิกัด
ถึงขนาดก้าวก่ายเข้าไปในกิจการภายในสภาผู้แทนราษฎร
สว.ผู้ที่เป็นตัวแทนของการสืบอำนาจคณะรัฐประหารอย่างถ่องแท้คนนี้
ออกท่าคัดค้านการเสนอชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นกรรมาธิการพิจารณางบประมาณ
๒๕๖๔ ว่า “เมืองไทยสิ้นไร้นักการเมืองดีๆ แล้วหรือ..ต้องไปขุดคนที่มีมลทิน
ถูกตัดสิทธิทางการเมืองมาทำงาน”
สมเจตน์นี่เป็นตัวเอ้ในฝ่ายรัฐประหารมาตั้งแต่
๒๕๔๙ เคยเป็นหัวหน้าสำนักงาน คมช. ภายใต้บังคับบัญชาของ วินัย ภัททิยกุล
พอรัฐประหาร ๕๗ ก็ได้เป็น สนช. “ตอนนั้นตั้ง จิรภัทร บุญถนอม
ลูกชายตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัวด้วย” Atukkit Sawangsuk
ทวนความหลัง
สมเจตน์ยังมีน้องชายที่เป็นสายรัฐประหารเหมือนกัน
ตอนเลือกตั้ง ๕๐ ไปช่วยกันคุมภาคเหนือ “ล่อซื้อ” ยงยุทธ ติยะไพรัช
คนใกล้ชิดนายใหญ่ ข้อหาแจกเงินกำนัน ๑๐ คนจากพื้นที่เลือกตั้งที่แห่กันบินไปหา
ผลก็คือทำให้พรรคชินวัตรถูกยุบ
พล.ต.ท.สมคิด
บุญถนอม ยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการรวบรวมพยานหลักฐานการทุจริตเลือกตั้งของ ‘บิ๊ก’ พรรคพลังประชาชน แกนนำรัฐบาลชุดที่แล้ว
จนนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองพรรคนี้เมื่อวันที่ ๒ ธ.ค.๒๕๕๒”
สมคิดคนนี้มีชนักปักหลังมาจากคดี
‘อุ้มหาย’ นักธุรกิจจากซาอุดิอาราเบีย
‘อัลรูไวลี’ เป็นเชื้อพระวงศ์กัตริย์ซาอุฯ
ที่ถูกส่งไปกรุงเทพฯ
เพื่อสืบหาความจริงว่าใครวะที่อมเพชรสีน้ำเงินซึ่งขโมยไปจากราชสำนักซาอุฯ
แล้วมีภาพปรากฏว่าห้อยอยู่บนคอชนชั้นสูงมากของไทย
สมเจตน์ผู้พี่นั้นเคยมีคำคมทีเด็ดประเภท
‘บวรเดช’ ว่า “ต้องกลับมาคิดใหม่ว่าประชาธิปไตยมันเหมาะกับประเทศไทยแล้วหรือ”
ซึ่งหมอวรงค์ เดชวิกรม ลิ่วล้อ คสช.ตัวยงอีกคน เปิดการรณรงค์ใหม่สดว่า ‘ไม่เอา’ ประชาธิปไตยแบบตะวันตกสำหรับประเทศไทย
เห็นอย่างนี้แล้ว
‘พรรคการเมืองใหม่’
ที่โพลกรรณิกาใฝ่ฝัน ต้องไม่ใช่ทางเลือกของ นายกฯ ตู่สมัยที่สาม อย่างแน่นอน