อยากให้ ‘เหรียญทอง’ กลับไป “ปากสุนัขและใจสัตว์” อย่างเก่าจะดีกว่ามั้ง
เพราะทันทีที่แกเสนอไอเดียแก้ผลกระทบโควิด-๑๙ ในตำแหน่งกรรมการที่ ‘ตู่ตั้ง’ แล้วเหมือนพยายามขายขยะให้ไปแปรสภาพ
แต่กลับเกิดมลพิษเป็นผลข้างเคียง
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะที่รับเฉพาะคนไข้ไม่แดง
เตรียมเสนอโครงการ ‘ทัวร์ลี้ภัยโควิด’ ให้รัฐบาลจัดทำ โดยให้โรงแรมต่างๆ ปรับเปลี่ยนไปเป็น ‘เนิร์สซิ่งโฮม’ หรือแท้จริงก็คือสถานพักฟื้นคนชรา
สำหรับชาวต่างชาติ
ดูจากรายละเอียดที่เสนอ ๔-๕ ข้อ
ก็เป็นการนำเอากิจการที่เคยทำรายได้ดีให้แก่โรงพยาบาลชั้นนำในไทยก่อนเกิดวิกฤตโควิด
แถมเป็นที่นิยมจนเกือบจะเป็นธุรกิจที่นำรายได้เข้าประเทศระดับต้นๆ
ของการท่องเที่ยว รู้จักกันดีว่า ‘ทัวร์สุขภาพ’
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้ที่โด่งดังในทางโจมตีให้ร้ายแก่ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยมากกว่าในทางการแพทย์และสาธารณสุข
อ้างว่าโครงการของเขาจะทำให้โรงพยาบาลเอกชน กิจการโรงแรม และการบินเฟื่องฟูได้
เขาเสนอให้เปิดกรุ๊ปทัวร์ชาวต่างชาติสูงอายุ
แบบเหมาลำ ‘ชาร์เตอร์ ไฟล้ท์’ เพื่อการพำนักระยะยาว เป็นเวลา ๑ ปี แล้วสามารถขยายเวลาต่อได้ โดยคัดกรองผู้เดินทางล่วงหน้าจากต้นทาง
มาถึงแล้วกระจายไปตามโรงแรมต่างๆ ในโครงการ
นั่นคือต้องเปลี่ยนแปลงโรงแรมไปเป็นสถานพักฟื้นเสียก่อน
หรือปรับโรงพยาบาลเอกชนเดิมให้เป็นสถานพักฟื้น
ซึ่งก็คงต้องเพิ่มส่วนที่เป็นการหย่อนใจและสันทนาการ
แบบที่โรงพยาบาลซึ่งรับทัวร์สุขภาพทำมา เช่น มีสวนอาหาร มีห้องดนตรี เป็นอาทิ
แต่ด้วยข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่ว่า
โควิด-๑๙ จะอยู่กับโลกเราต่อไปอีกไม่น้อยกว่า ๑ ปี เหมือนช้างตัวใหญ่อยู่ในห้อง
เหรียญทองมีทางออกให้ว่า ต้องมีการกักตัวนักท่องเที่ยวหนีโควิดไว้ที่สนามบินก่อนเป็นเวลา
๑๔ วัน
ดังนั้นจะต้องมีการสร้างโรงพยาบาลสนามบินเพื่อการนั้น
“สำหรับกักกันและรักษาโรคได้อย่างเบ็ดเสร็จ (เป็น
รพ.ในรูปแบบเดียวกับอู่ฮั่นของจีน)” จึงจำเป็นต้องมี “เมืองสนามบินซึ่งมีเนื้อที่นับพันไร่
ยังจะมีเขตบังกะโลที่พักอาศัยในกรณีที่ชาวต่างชาติไม่ประสงค์พักโรงแรม,
มีเขตร้านค้า ร้านอาหาร ฯลฯ” ด้วย “มีความพร้อมสมบูรณ์ในตัว
แต่จะพัฒนาให้มีภูมิทัศน์สวยงามน่าอยู่...เหมือนค่ายทหารสหรัฐฯ
ในสมัยสงครามเวียตนาม” ‘หะมอ’ แกฝันถึงการเอาสนามบินที่รกร้างว่างเปล่า “นำมาพัฒนาให้เป็น 'เมืองสนามบิน'”
อ้างว่าเป็น “การใช้ทรัพยากรภายในประเทศที่ทิ้งร้างว่างเปล่าไม่เกิดผลผลิต”
แต่นี่มันเมืองแบบ ‘สม้าร์ทซิตี้’ ที่เจ้าสัวประชารัฐวางแผนกันไว้แล้ว รายใหญ่ลงมือแล้วด้วยซ้ำ แถวบางคล้า
บางปะกงนั่นน่ะ (ชักเป็นห่วงว่าเจ้าสัวจะยั๊ว ไปตั้งโรงพยาบาลแย่งคนไข้ใกล้ๆ กับ ‘มงกุฏวัฒนะ’ มั่ง)
เหรียญทองอวดโครงการอย่างสวยว่า “เป็นแนวความคิดในการปฏิบัติโดยใช้ยุทธศาสตร์
'สุขภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ'...ลดผลกระทบด้านการท่องเที่ยว-โรงแรม-บริการ
กระตุ้นให้เกิดการจ้างงานได้ในช่วงหลายปีนับจากนี้”
นั่นเป็นผลกรรมจากการปาวารณาตัวเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการแก้ผลกระทบโควิด
ที่ว่าจะเลิก ‘บู๊’
มาเป็น ‘บุ๋น’ ที่แม้ว่า “จะไม่ใช่นักวิชาการก็ตาม”
ก็จะ “ให้ความเห็นทางวิชาการ เสนอแนะแนวทางต่างๆ...โดยไม่ขอรับผลตอบแทนใดๆ”
แล้วก็ทั้งหมดนี่ “ผมไม่ได้ดราม่านะครับ”
แต่ก็ไม่มีอะไรใหม่ ซ้ำไม่น่าจะเป็นแผนงานที่จะต้องตรงกับสถานการณ์
หลังจากระยะผ่อนคลายเมื่อมีการปลดล็อคไปทีละเปลาะ
ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นปีขณะที่ยังต้องดำเนินวิถีชีวิตอย่างระมัดระวัง
การใช้หน้ากากอนามัย
การรักษาระยะห่างทางกายภาพ การทำความสะอาดร่างกายเพื่อป้องกันเชื้อโรค
ยังจะละทิ้งไม่ได้ ผู้คนจะใช้ชีวิตในลักษณะกึ่งเก็บตัวต่อไปอีกนาน
ย่อมหมายถึงทัวร์สุขภาพย่อมลดน้อยลงไป และทัวร์หนีโควิดของเหรียญทองเกิดยาก
ความคิดที่ว่า ประเทศไทยมี ‘จุดแข็ง’ ที่เป็น “ดินแดนปลอดภัยโควิด-๑๙”
นั้นไม่ใช่ และการใช้ จุดแข็งด้านการแพทย์ 'สุขภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติ' ก็เป็นเพียง ‘perception’ หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองเท่านั้น
การจะแปลงความรู้สึกแกร่งไปเป็นกำไรไม่ง่าย
จากที่เหรียญทองบอกไว้ “มี ฯพณฯ
นายกรัฐมนตรี ที่ผมพูดเสมอๆ ว่าเป็นผู้นำที่จะนำพาชาติไทยให้ฟันฝ่าวิกฤตโควิด-๑๙ ไปได้”
นี่ก็เป็น ‘misperception’ หลงผิดไปแล้ว
เอาแค่ที่จะให้เปลี่ยนสนามบินรกร้างเป็นหมู่บ้านสุขภาพนั่น
ใครล่ะจะรวย ซิ-โน่ไทย ช.การช่าง
หรือว่าอิตาเลี่ยนไทย ดูตึกรัฐสภา ดูตอม่อโฮ้ปเวล ดูการหลุดคดีเสือดำเป็นตัวอย่าง
ก็มองเห็นอนาคตไทยหลังโควิดตะหงิดๆ เสียแล้ว