วันจันทร์, พฤษภาคม 04, 2563

‘เหรียญทอง’ กลับไป “ปากสุนัขและใจสัตว์” อย่างเก่าจะดีกว่า


อยากให้ เหรียญทอง กลับไป “ปากสุนัขและใจสัตว์” อย่างเก่าจะดีกว่ามั้ง เพราะทันทีที่แกเสนอไอเดียแก้ผลกระทบโควิด-๑๙ ในตำแหน่งกรรมการที่ ตู่ตั้งแล้วเหมือนพยายามขายขยะให้ไปแปรสภาพ แต่กลับเกิดมลพิษเป็นผลข้างเคียง

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะที่รับเฉพาะคนไข้ไม่แดง เตรียมเสนอโครงการ ทัวร์ลี้ภัยโควิดให้รัฐบาลจัดทำ โดยให้โรงแรมต่างๆ ปรับเปลี่ยนไปเป็น เนิร์สซิ่งโฮม หรือแท้จริงก็คือสถานพักฟื้นคนชรา สำหรับชาวต่างชาติ

ดูจากรายละเอียดที่เสนอ ๔-๕ ข้อ ก็เป็นการนำเอากิจการที่เคยทำรายได้ดีให้แก่โรงพยาบาลชั้นนำในไทยก่อนเกิดวิกฤตโควิด แถมเป็นที่นิยมจนเกือบจะเป็นธุรกิจที่นำรายได้เข้าประเทศระดับต้นๆ ของการท่องเที่ยว รู้จักกันดีว่า ทัวร์สุขภาพ

พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้ที่โด่งดังในทางโจมตีให้ร้ายแก่ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยมากกว่าในทางการแพทย์และสาธารณสุข อ้างว่าโครงการของเขาจะทำให้โรงพยาบาลเอกชน กิจการโรงแรม และการบินเฟื่องฟูได้

เขาเสนอให้เปิดกรุ๊ปทัวร์ชาวต่างชาติสูงอายุ แบบเหมาลำ ชาร์เตอร์ ไฟล้ท์เพื่อการพำนักระยะยาว เป็นเวลา ๑ ปี แล้วสามารถขยายเวลาต่อได้ โดยคัดกรองผู้เดินทางล่วงหน้าจากต้นทาง มาถึงแล้วกระจายไปตามโรงแรมต่างๆ ในโครงการ

นั่นคือต้องเปลี่ยนแปลงโรงแรมไปเป็นสถานพักฟื้นเสียก่อน หรือปรับโรงพยาบาลเอกชนเดิมให้เป็นสถานพักฟื้น ซึ่งก็คงต้องเพิ่มส่วนที่เป็นการหย่อนใจและสันทนาการ แบบที่โรงพยาบาลซึ่งรับทัวร์สุขภาพทำมา เช่น มีสวนอาหาร มีห้องดนตรี เป็นอาทิ
 
แต่ด้วยข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่ว่า โควิด-๑๙ จะอยู่กับโลกเราต่อไปอีกไม่น้อยกว่า ๑ ปี เหมือนช้างตัวใหญ่อยู่ในห้อง เหรียญทองมีทางออกให้ว่า ต้องมีการกักตัวนักท่องเที่ยวหนีโควิดไว้ที่สนามบินก่อนเป็นเวลา ๑๔ วัน

ดังนั้นจะต้องมีการสร้างโรงพยาบาลสนามบินเพื่อการนั้น “สำหรับกักกันและรักษาโรคได้อย่างเบ็ดเสร็จ (เป็น รพ.ในรูปแบบเดียวกับอู่ฮั่นของจีน)” จึงจำเป็นต้องมี “เมืองสนามบินซึ่งมีเนื้อที่นับพันไร่ ยังจะมีเขตบังกะโลที่พักอาศัยในกรณีที่ชาวต่างชาติไม่ประสงค์พักโรงแรม,

มีเขตร้านค้า ร้านอาหาร ฯลฯ” ด้วย “มีความพร้อมสมบูรณ์ในตัว แต่จะพัฒนาให้มีภูมิทัศน์สวยงามน่าอยู่...เหมือนค่ายทหารสหรัฐฯ ในสมัยสงครามเวียตนาม” หะมอแกฝันถึงการเอาสนามบินที่รกร้างว่างเปล่า “นำมาพัฒนาให้เป็น 'เมืองสนามบิน'

อ้างว่าเป็น “การใช้ทรัพยากรภายในประเทศที่ทิ้งร้างว่างเปล่าไม่เกิดผลผลิต” แต่นี่มันเมืองแบบ สม้าร์ทซิตี้ ที่เจ้าสัวประชารัฐวางแผนกันไว้แล้ว รายใหญ่ลงมือแล้วด้วยซ้ำ แถวบางคล้า บางปะกงนั่นน่ะ (ชักเป็นห่วงว่าเจ้าสัวจะยั๊ว ไปตั้งโรงพยาบาลแย่งคนไข้ใกล้ๆ กับ มงกุฏวัฒนะ มั่ง)

เหรียญทองอวดโครงการอย่างสวยว่า “เป็นแนวความคิดในการปฏิบัติโดยใช้ยุทธศาสตร์ 'สุขภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ'...ลดผลกระทบด้านการท่องเที่ยว-โรงแรม-บริการ กระตุ้นให้เกิดการจ้างงานได้ในช่วงหลายปีนับจากนี้”

นั่นเป็นผลกรรมจากการปาวารณาตัวเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการแก้ผลกระทบโควิด ที่ว่าจะเลิก บู๊ มาเป็น บุ๋นที่แม้ว่า “จะไม่ใช่นักวิชาการก็ตาม” ก็จะ “ให้ความเห็นทางวิชาการ เสนอแนะแนวทางต่างๆ...โดยไม่ขอรับผลตอบแทนใดๆ”

แล้วก็ทั้งหมดนี่ “ผมไม่ได้ดราม่านะครับ” แต่ก็ไม่มีอะไรใหม่ ซ้ำไม่น่าจะเป็นแผนงานที่จะต้องตรงกับสถานการณ์ หลังจากระยะผ่อนคลายเมื่อมีการปลดล็อคไปทีละเปลาะ ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นปีขณะที่ยังต้องดำเนินวิถีชีวิตอย่างระมัดระวัง

การใช้หน้ากากอนามัย การรักษาระยะห่างทางกายภาพ การทำความสะอาดร่างกายเพื่อป้องกันเชื้อโรค ยังจะละทิ้งไม่ได้ ผู้คนจะใช้ชีวิตในลักษณะกึ่งเก็บตัวต่อไปอีกนาน ย่อมหมายถึงทัวร์สุขภาพย่อมลดน้อยลงไป  และทัวร์หนีโควิดของเหรียญทองเกิดยาก

ความคิดที่ว่า ประเทศไทยมี จุดแข็งที่เป็น “ดินแดนปลอดภัยโควิด-๑๙” นั้นไม่ใช่ และการใช้ จุดแข็งด้านการแพทย์ 'สุขภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติ' ก็เป็นเพียง ‘perception’ หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองเท่านั้น การจะแปลงความรู้สึกแกร่งไปเป็นกำไรไม่ง่าย

จากที่เหรียญทองบอกไว้ “มี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ที่ผมพูดเสมอๆ ว่าเป็นผู้นำที่จะนำพาชาติไทยให้ฟันฝ่าวิกฤตโควิด-๑๙ ไปได้” นี่ก็เป็น ‘misperception’ หลงผิดไปแล้ว เอาแค่ที่จะให้เปลี่ยนสนามบินรกร้างเป็นหมู่บ้านสุขภาพนั่น

ใครล่ะจะรวย ซิ-โน่ไทย ช.การช่าง หรือว่าอิตาเลี่ยนไทย ดูตึกรัฐสภา ดูตอม่อโฮ้ปเวล ดูการหลุดคดีเสือดำเป็นตัวอย่าง ก็มองเห็นอนาคตไทยหลังโควิดตะหงิดๆ เสียแล้ว