วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 07, 2563

ปลุกผี ‘ล้มเจ้า’ ระลอกใหม่ ‘สถาบันทิศทางไทย’ ชูโรง


สถาบันทิศทางไทยนำลงข้อเขียนและบทความปลุกผี ล้มเจ้าพุ่งเป้าไปที่คณะก้าวหน้าของอดีตแกนนำผู้บริหารพรรคอนาคตใหม่อย่างรุนแรง และสาดเสียเทเสีย ชี้ถึงปฏิบัติการ ขวาพิฆาตซ้าย และใช้กษัตริย์เป็นเครื่องมือทำร้ายฝ่ายตรงข้ามระลอกใหม่

วิธีการปั้นวาทกรรมเท็จให้เกิดการปั่นป่วน ของเว็บเพจดังกล่าวซึ่งนายสนธิญาน ชื่นฤทัยในธรรม (สกุลเดิม หนูแก้ว) เป็นผู้ก่อตั้งโดยจัดให้นายเก่า จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ไปเป็นประธานนี้ มีมาแต่รัชกาลที่แล้วต่อเนื่องสู่ในรัชกาลนี้

เป็นที่รู้กันว่ารัชกาลที่แล้วมิได้ทรงแสดงอาการสนับสนุนต่อปฏิบัติการเยี่ยงนี้ กระทั่งบางครั้งทรงมีพระราชปรารภให้เกิดความเข้าใจทางสาธารณะว่าสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือความขัดแย้งดังกล่าว ทำให้กระบวนการ โหนเจ้า ลอยฟ่องเรื่อยมา

รัชกาลนี้ก็เช่นกัน กระบวนการเดิมออกโรงเพื่อการ พิฆาต ตั้งแต่เสร็จจากพระราชพิธีเฉลิมราชย์ไม่นาน และเพิ่มแรงหนักหน่วงเป็นลำดับ ไม่เพียงแต่เพราะพระเจ้าอยู่หัวองค์นี้ทรงอยู่เหนือการเมืองเฉกเช่นพระราชบิดา หากแต่เพราะประทับอยู่ไกลโพ้นถึงภาคพื้นยุโรป

บทความเมื่อ ๗ พฤษภา ที่อ้างเอา ศุภมาส เสนะเวส เป็นปาฐกจาบจ้วง ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ปัจจุบันแกนนำคณะก้าวหน้าว่า เหิมเกริมและมีความคิดสกปรก “มากกว่าเหล่าอาชญากรเสียอีก” เนื่องเพราะ

ปิยบุตรได้เขียนข้อความเป็นปฏิกิริยาต่อการแต่งตั้งนายนุรักษ์ มาปราณีต เข้าเป็นองคมนตรีลำดับที่ ๑๖ ว่าอดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญผู้นี้มีผลงานการวินิจฉัยเอาผิด และหักล้างบุคคลทางการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับคณะรัฐประหารและรัฐบาลสืบทอดอำนาจนั้น

เราไม่อาจกำหนดได้ว่านางสาวศุภมาสเป็นผู้มีภูมิปัญญาถึงขั้นว่าร้าย “ผู้ที่เป็นนักวิชาการระดับปริญญาเอก” (เจ้าตัวอ้างเอง) เป็น “คนชังชาติ คิดทำลายชาติ ล้มล้างระบอบ” ทั้งนี้เพราะว่าการแต่งตั้งนายนุรักษ์ เป็นการเลือกเอาผู้ “ที่สอดคล้องต้องกันไปในทิศทางเดียว”

 
ความ สอดคล้องนั้นก็ไป ต้องตรงกับคำกล่าวหาของนายศรีสุวรรณ จรรยา นักฟ้อง ร้องคดีตัวยง ซึ่งอ้างว่าตนมีรายได้จากลูกความบริจาคให้ตามศรัทธา ตนรับฟ้องคดีแก่ทุกคนโดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทน ที่หมายความว่าฟ้องใครบ่อยเพราะลูกความบริจาคบ่อยด้วยไหม

ดูเหมือนศรีสุวรรณจะเป็นรายแรกที่เริ่มบริภาษณ์ปิยบุตรว่า “ก้าวล่วงพระราชอำนาจ” (ในการแต่งตั้งองคมนตรี) และ “ตีวัวกระทบคราด” จากการที่นำเอาประวัติการตัดสินคดีของนุรักษ์มาตีแผ่ แม้ “จะไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์มากไปกว่า

ความพยายามจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลงานการวินิจฉัยในคดียุบพรรค และคดีทางการเมือง ที่นายนุรักษ์มีส่วนร่วมในองค์คณะ ซึ่งมีผลกระทบในทางการเมืองสูง และสร้างความไม่พอใจให้กับบุคคลในพรรคการเมืองบางฝ่ายมาตลอด” ศรีสุวรรณอ้างเอง


แน่นอนว่า ‘credentials’ ประวัติการทำงานของนายนุรักษ์ตลอด ๑๓ ปีในศาลรัฐธรรมนูญชี้ให้เห็นถึงการตัดสิน ความผิดให้แก่ผู้นำและพรรคการเมืองที่ถูกคณะทหารยึดอำนาจ กับพรรคการเมืองที่ประกาศนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อลบล้างอำนาจรัฐประหาร

การกล่าวย้ำเตือนต่อสาธารณะเป็นหน้าที่โดยชอบธรรม ของหมู่คณะซึ่งปาวารณาตนยืนหยัดสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ขึ้นใหม่ และสกัดกั้นการใช้อำนาจเผด็จการของกลุ่มอาชีพที่ถืออาวุธ ที่ศรีสุวรรณและศุภมาสกล่าวหาปิยบุตรก้าวล่วงนั่น

มิเป็นการจับวางองค์ประมุขให้ทรงหักล้างประชาธิปไตยไปโดยปริยายละหรือ องค์พระประมุขไม่ว่ารัชกาลนี้หรือโน้น แห่งระบอบประชาธิปไตย ย่อมจะไม่สามารถแสดงพระองค์ว่าทรงประสงค์ ราชาธิปไตยหรือสมบูรณายาสิทธิราชอีกได้

การบัญญัติสิ่งใดในพระปรมาภิไธยอาจมิใช่พระราชประสงค์โดยตรง แต่ก็ทรงอนุโลมกับกิจที่รัฐบาลหรือผู้กุมอำนาจทางการเมืองกราบบังคมทูล เช่นกันกับสิ่งที่เป็นพระราชประสงค์ได้รับการสนองจากผู้กำอำนาจโดยมิต้องผ่านกระบวนการตราเป็นกฎหมาย

เห็นได้จากรัชกาลที่เก้าเสด็จออกรับการเข้าเฝ้าของคณะรัฐประหาร คมช.ในยามดึก และรัฐบาล คสช.จัดการแก้รัฐธรรมนูญเรื่องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ให้รัชกาลที่สิบเสด็จประทับในต่างประเทศกึ่งถาวร ชนิดสื่อฝรั่งเรียกว่า ‘rules by remote control’ ได้

เหล่านี้จะเรียกว่าเป็นวีธีการปกครองแนวใหม่ ‘neo monarchy’ หรือราชาธิปไตยแบบที่ศาลรัฐธรรมนูญเขียนไว้สั่งสอนบุคคลากรศาลเป็นลายลักษณ์อักษร นั่นคือใครที่ซึมซับกับระบบมักจะอุบไว้ปล่อยให้ลื่นไหลดั่งสายน้ำใต้ดิน

ใครที่ไม่เห็นด้วยย่อมจะโพทธนา ไปจนกระทั่งโวยวายคัดค้าน หมายมั่นให้มีการปรับแก้ไปตามครรลองแห่งสากล แต่เมื่อใครก็ตามเห็นดีเห็นชอบแล้วออกมาตีโพยตีพายในสิ่งที่ฝ่ายต่อต้านเปิดโปง จะไม่เป็นการประจานสิ่งที่ตนเทิดทูนไปละหรือ