‘สถาบันทิศทางไทย’ นำลงข้อเขียนและบทความปลุกผี ‘ล้มเจ้า’ พุ่งเป้าไปที่คณะก้าวหน้าของอดีตแกนนำผู้บริหารพรรคอนาคตใหม่อย่างรุนแรง
และสาดเสียเทเสีย ชี้ถึงปฏิบัติการ ‘ขวาพิฆาตซ้าย’ และใช้กษัตริย์เป็นเครื่องมือทำร้ายฝ่ายตรงข้ามระลอกใหม่
วิธีการปั้นวาทกรรมเท็จให้เกิดการปั่นป่วน ของเว็บเพจดังกล่าวซึ่งนายสนธิญาน
ชื่นฤทัยในธรรม (สกุลเดิม ‘หนูแก้ว’) เป็นผู้ก่อตั้งโดยจัดให้นายเก่า จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ไปเป็นประธานนี้
มีมาแต่รัชกาลที่แล้วต่อเนื่องสู่ในรัชกาลนี้
เป็นที่รู้กันว่ารัชกาลที่แล้วมิได้ทรงแสดงอาการสนับสนุนต่อปฏิบัติการเยี่ยงนี้
กระทั่งบางครั้งทรงมีพระราชปรารภให้เกิดความเข้าใจทางสาธารณะว่าสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือความขัดแย้งดังกล่าว
ทำให้กระบวนการ ‘โหนเจ้า’
ลอยฟ่องเรื่อยมา
รัชกาลนี้ก็เช่นกัน กระบวนการเดิมออกโรงเพื่อการ
‘พิฆาต’ ตั้งแต่เสร็จจากพระราชพิธีเฉลิมราชย์ไม่นาน
และเพิ่มแรงหนักหน่วงเป็นลำดับ ไม่เพียงแต่เพราะพระเจ้าอยู่หัวองค์นี้ทรงอยู่เหนือการเมืองเฉกเช่นพระราชบิดา
หากแต่เพราะประทับอยู่ไกลโพ้นถึงภาคพื้นยุโรป
บทความเมื่อ ๗ พฤษภา ที่อ้างเอา ศุภมาส
เสนะเวส เป็นปาฐกจาบจ้วง ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่
ปัจจุบันแกนนำคณะก้าวหน้าว่า เหิมเกริมและมีความคิดสกปรก “มากกว่าเหล่าอาชญากรเสียอีก”
เนื่องเพราะ
ปิยบุตรได้เขียนข้อความเป็นปฏิกิริยาต่อการแต่งตั้งนายนุรักษ์
มาปราณีต เข้าเป็นองคมนตรีลำดับที่ ๑๖ ว่าอดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญผู้นี้มีผลงานการวินิจฉัยเอาผิด
และหักล้างบุคคลทางการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับคณะรัฐประหารและรัฐบาลสืบทอดอำนาจนั้น
เราไม่อาจกำหนดได้ว่านางสาวศุภมาสเป็นผู้มีภูมิปัญญาถึงขั้นว่าร้าย
“ผู้ที่เป็นนักวิชาการระดับปริญญาเอก” (เจ้าตัวอ้างเอง) เป็น “คนชังชาติ
คิดทำลายชาติ ล้มล้างระบอบ” ทั้งนี้เพราะว่าการแต่งตั้งนายนุรักษ์ เป็นการเลือกเอาผู้
“ที่สอดคล้องต้องกันไปในทิศทางเดียว”
ความ ‘สอดคล้อง’
นั้นก็ไป ‘ต้องตรง’ กับคำกล่าวหาของนายศรีสุวรรณ
จรรยา นักฟ้อง ‘ร้อง’ คดีตัวยง
ซึ่งอ้างว่าตนมีรายได้จากลูกความบริจาคให้ตามศรัทธา ตนรับฟ้องคดีแก่ทุกคนโดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทน
ที่หมายความว่าฟ้องใครบ่อยเพราะลูกความบริจาคบ่อยด้วยไหม
ดูเหมือนศรีสุวรรณจะเป็นรายแรกที่เริ่มบริภาษณ์ปิยบุตรว่า
“ก้าวล่วงพระราชอำนาจ” (ในการแต่งตั้งองคมนตรี) และ “ตีวัวกระทบคราด”
จากการที่นำเอาประวัติการตัดสินคดีของนุรักษ์มาตีแผ่ แม้ “จะไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์มากไปกว่า
ความพยายามจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลงานการวินิจฉัยในคดียุบพรรค
และคดีทางการเมือง ที่นายนุรักษ์มีส่วนร่วมในองค์คณะ
ซึ่งมีผลกระทบในทางการเมืองสูง และสร้างความไม่พอใจให้กับบุคคลในพรรคการเมืองบางฝ่ายมาตลอด”
ศรีสุวรรณอ้างเอง
แน่นอนว่า ‘credentials’ ประวัติการทำงานของนายนุรักษ์ตลอด ๑๓
ปีในศาลรัฐธรรมนูญชี้ให้เห็นถึงการตัดสิน ‘ความผิด’ ให้แก่ผู้นำและพรรคการเมืองที่ถูกคณะทหารยึดอำนาจ
กับพรรคการเมืองที่ประกาศนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อลบล้างอำนาจรัฐประหาร
การกล่าวย้ำเตือนต่อสาธารณะเป็นหน้าที่โดยชอบธรรม
ของหมู่คณะซึ่งปาวารณาตนยืนหยัดสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ขึ้นใหม่ และสกัดกั้นการใช้อำนาจเผด็จการของกลุ่มอาชีพที่ถืออาวุธ
ที่ศรีสุวรรณและศุภมาสกล่าวหาปิยบุตรก้าวล่วงนั่น
มิเป็นการจับวางองค์ประมุขให้ทรงหักล้างประชาธิปไตยไปโดยปริยายละหรือ
องค์พระประมุขไม่ว่ารัชกาลนี้หรือโน้น แห่งระบอบประชาธิปไตย ย่อมจะไม่สามารถแสดงพระองค์ว่าทรงประสงค์
ราชาธิปไตยหรือสมบูรณายาสิทธิราชอีกได้
การบัญญัติสิ่งใดในพระปรมาภิไธยอาจมิใช่พระราชประสงค์โดยตรง
แต่ก็ทรงอนุโลมกับกิจที่รัฐบาลหรือผู้กุมอำนาจทางการเมืองกราบบังคมทูล
เช่นกันกับสิ่งที่เป็นพระราชประสงค์ได้รับการสนองจากผู้กำอำนาจโดยมิต้องผ่านกระบวนการตราเป็นกฎหมาย
เห็นได้จากรัชกาลที่เก้าเสด็จออกรับการเข้าเฝ้าของคณะรัฐประหาร
คมช.ในยามดึก และรัฐบาล คสช.จัดการแก้รัฐธรรมนูญเรื่องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ให้รัชกาลที่สิบเสด็จประทับในต่างประเทศกึ่งถาวร ชนิดสื่อฝรั่งเรียกว่า ‘rules
by remote control’ ได้
เหล่านี้จะเรียกว่าเป็นวีธีการปกครองแนวใหม่
‘neo monarchy’ หรือราชาธิปไตยแบบที่ศาลรัฐธรรมนูญเขียนไว้สั่งสอนบุคคลากรศาลเป็นลายลักษณ์อักษร
นั่นคือใครที่ซึมซับกับระบบมักจะอุบไว้ปล่อยให้ลื่นไหลดั่งสายน้ำใต้ดิน
ใครที่ไม่เห็นด้วยย่อมจะโพทธนา
ไปจนกระทั่งโวยวายคัดค้าน หมายมั่นให้มีการปรับแก้ไปตามครรลองแห่งสากล
แต่เมื่อใครก็ตามเห็นดีเห็นชอบแล้วออกมาตีโพยตีพายในสิ่งที่ฝ่ายต่อต้านเปิดโปง จะไม่เป็นการประจานสิ่งที่ตนเทิดทูนไปละหรือ