วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 03, 2563

ดิ้นกันสุดกลั้น วิปรัฐบาลออกลูก ‘ขู่’ ทั้งที่ตัวเองมีคดี 'ทุจริต' น่าจะโดนซักฟอกเหมือนกัน


ดิ้นกันสุดกลั้น วิปรัฐบาลออกลูก ขู่ เขียนเสือให้วัวกลัว ว่าฝ่ายค้านอย่าได้อภิปรายไม่ไว้วางใจย้อนไปไกลถึงใน คสช.๑ ล่ะ ขืนไม่ฟังโดน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลป่วนแน่ แม้แต่พรรคร่วมที่จะตายมิตายแหล่ก็ยังประกาศ ช่วยกันพิทักษ์ระบอบ ตู่ตั้ง

วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร. ในตำแหน่ง วิปรัฐบาลออกมาแอ่นพุงยักท่า เรื่องฝ่ายค้านจ่ชี้หน้าอภิปรายไม่ไว้วางใจ ๖ รัฐมนตรีในรัฐบาล รวมทั้งนายกฯ และรองฯ ว่าจะได้วันที่ ๑๙-๒๑ กุมภาตามที่เสนอหรือไม่ ขอเช็คดูก่อน

ข้อสำคัญจะอภิปรายอะไร “ขอให้อยู่ในกรอบ” เฉพาะรัฐบาลนี้เท่านั้น ส่วนที่รัฐบาลนี้เคยทำริยำตำบอนไว้ตอนเป็นรัฐบาลก่อนคนละเรื่องกัน เลยตามเลยสายน้ำไหลไปแล้วไม่ไหลกลับ ไม่อย่างนั้นนะ “อาจมีสมาชิกซีกรัฐบาลลุกขึ้นเสนอขอปิดอภิปรายก็เป็นได้”

วิรัชอ้างว่า แล้วจะทำให้ เสียบรรยากาศเพราะถ้า “จะมาบอกว่าเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในรอบ ๗ ปี ผมก็ต้องบอกว่าครั้งนี้ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลในรอบ ๗ ปีเช่นกัน” อ้าวไหนอ้างตัดตอนขาดไปแล้วระหว่างยุค ตู่ยึดกับยุค ตู่ตั้งไง

นี่ฝีปากคนที่ยังมีคดี ทุจริต ค้ำคออยู่นะ ที่จริงฝ่ายค้านน่าจะอภิปรายนายคนนี้เป็นรายที่เจ็ดต่อจากสองรัฐมนตรีที่ยังมัวหมองทางคดี แม้นว่าบัก ดอน ปรมัตถ์วินัย หลุดไปแล้วอย่างน่าฉงน แต่ราย ธรรมนัส พรหมเผ่า นี่คดีค้ายาฯ ที่ออสซี่ยังปักอกเต็มเปา

วิรัชขณะนี้ยังอยู่ในฐานะถูกคณะกรรมการปราบคอรัปชั่นชี้มูลความผิด “กรณีทุจริตในการจัดสรรงบประมาณเพื่อทำการก่อสร้างสนามฟุตซอล ในพื้นที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพฐ.) ในจังหวัดนครราชสีมา” ร่วมกับผู้ต้องหาอื่นๆ รวม ๙ คน
 
แม้นว่าตอนนั้น (สิงหา ๖๒) วิรัชจะทำเป็นกร้าวจะฟ้องกลับ ปปช. แต่ถึงตอนนี้หลังจากที่ ปปช.ออกมาย้ำ (๑๗ ธันวา ๖๒) “ว่าที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและทางวินัย แก่นายวิรัช รัตนเศรษฐ กับพวก

เพิ่มเติมในคดีดังกล่าวอีก ๖ เขตพื้นที่การศึกษาใน จ.นครราชสีมา” ย่อมแสดงว่าเป็นความมัวหมองสดๆ เลือดซิบ ฝ่ายค้านเอาไปอภิปรายซักฟอกได้สบาย ย้อนคำน้ำลายของนายวิรัชเองที่จะให้อภิปรายเฉพาะในช่วงรัฐบาลนี้


ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่นเศรษฐกิจ ที่มีคนพยายามจะเอารายงานล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทยมาอ้าง ว่าบัญชีเดินสะพัดไทยในปี ๖๒ ซึ่งเพิ่งผ่านมาหมาดๆ นั้น เกินดุล มากกว่าปีที่แล้วเสียอีก คือ ๖๑ เกินดุล ๒๘,๐๐๐ ล้าน แต่ ๖๒ เกินถึง ๓๗,๐๐๐ ล้าน

นั่นเป็นการใช้ปัญญาอย่าง สลิ่ม เพราะถ้าอ่านรายงานตามสติของนักวิชาการเศรษฐศาสตร์อย่าง อจ.กานดา นาคน้อย มหาวิทยาลัยคอนเน็คติกัตละก็ เธอบอกว่า “เวลาเศรษฐกิจดีคือจีดีพีโตไว ดุลบัญชีเดินสะพัดก็ลดลง เพราะการนำเข้าเครื่องจักรและสินค้าเพื่อการผลิตพุ่ง การนำเข้าเพื่อบริโภคก็พุ่ง

เวลาเศรษฐกิจไม่ดี ไม่โตมาก จะลดการนำเข้าสินค้าทุน ส่งออกก็ไม่โตแต่หดตัวน้อยกว่าการนำเข้า ดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะสูงขึ้น ไม่ใช่เรื่องควรปีติยินดี” ฉะนี้จะนับว่าโชคดีถ้าไม่โดนฝ่ายค้านจี้เรื่องการบริหารจัดการเศรษฐกิจชาติ

ไม่อย่างนั้นใบ้แดรกกันไปตามๆ ในเมื่อใน ๖ คนที่โดนอภิปรายไม่มีใครรอบรู้ในเรื่องเศรษฐกิจเพียง รู้กันแค่ พอเพียง ทั้งนั้น แต่ถ้าเขาถามก็ต้องตอบให้ได้ตามระเบียบกฎหมาย จะสบัดตูดเดินออกง่ายๆ ไม่เวิ้ร์ค ในเมื่อตัวหัวหน้าที่ถนัดแต่ยึดอำนาจ ดันเผือกเป็นผู้กำกับทีมเศรษฐกิจ

ถึงแม้พรรคประชาธิปัตย์ที่มีคนของตนไปเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจอยู่บ้าง อุตส่าห์เสี่ยงตายดาบหน้า ออกหนังสือสั่งงานให้ ส.ส.ของพรรคช่วยรัฐบาลอย่างเต็มที่ “แม้รัฐมนตรีของพรรคจะไม่โดนอภิปราย แต่พรรคจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้” ก็ตามที
 
งานนี้มีคนทายทักว่าเลือกตั้งครั้งหน้า ปชป.ปรับจากต่ำร้อยไปเป็นต่ำสิบแน่ๆ เพราะจะไม่มีใครเลือกเนื่องจากพวกชอบประชารัฐแบบเหยียบสองแคมก็ไปเลือกสายตรง พปชร.ดีกว่า พวกตัวเองที่กำลังยี้อยู่กับ  ไอทู้บต้องเบือนหน้า

พวกไม่เอาสืบทอดอำนาจ คสช. นอกจากเสื้อแดงแล้วยังมี รุ่นใหม่ที่ไม่เข้าใครออกใคร และโดนบรรดา ขนหน้าแข้ง รัฐบาลนี้จิกกัดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็คงไม่เอาด้วยกับ ปชป.เหมือนกัน ทำไปทำมา ปชป.จะกลายเป็นพรรคแตกเสียเองสมัยหน้า