ควันหลงจากโศกนาฏกรรมโคราช… 10กพ.2563
แก้วิกฤติแบบไทยๆ(We do it the Thai Way).....
ติดตามข่าววิกฤติการที่โคราชมาสองวันด้วยใจระทึก ผมมีข้อสังเกตบางประการที่จะขอยกมาครับ คือเรื่องการบัญชาการเหตุการณ์ บัญชาการปฏิบัติการ
ตอนแรกๆก็เข้าใจว่าน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ แล้วก็คงเลื่อนไปตามแต่ที่จะมีใครยศใหญ่กว่าโผล่เข้ามา แล้วก็คงเลื่อนไปเรื่อยๆสลับกันไปมาระหว่างตำรวจกับทหาร
ตอนหัวคำ่ก็มีข่าวว่า ผบทบ.สั่งให้พลอ.สุนัย ผชผบ.ที่คุมหน่วยรบพิเศษลงพื้นที่ไปบัญชาการร่วมกับแม่ทัพภาค ร่วมกับตำรวจ แต่พอดึกๆเห็นว่ายืดเยื้อ ก็มีข่าวว่าผบทบ.เดินทางไปบัญชาการเอง แต่พอยืดเยื้อหนักเข้า ตอนเช้ามืด ท่านก็ขอลากลับโยกให้ผบตร.บัญชาการแทน ซึ่งบิ๊กแป๊ะก็ไม่รอช้ารีบเปลี่ยนชุดออกศึกลงทุนลงคลานนำหน้าหน่วยอรินทราชให้ตากล้องถ่ายรูป แล้วเข้าลุยวงในด้วยตนเองเลยทีเดียว จนยุติเหตุการณ์ลงได้
พอเหตุการณ์ยุติ ก็มีประกาศว่า ท่านนายกจะเดินทางมาบัญชาการ(การแถลงข่าว)ด้วยตัวเอง(ซึ่งท่านก็อุตส่าห์เสีบสละตื่นแต่เช้าวันหยุดเร่งรุดมา …เพียงแต่ผิดคิวไปหน่อย เผลอนึกว่ามาหาเสียง มาถึงก็โบกมือยิ้มแย้มกราด แจกมินิฮาร์ท เลยโดนบ่นว่าผิดกาละเทศะไปหน่อยในยามที่มีศพกองอยู่ตั้งยี่สิบศพ)
สรุปว่าตั้งแต่เกิดเรื่องตอนหกโมงเย็นจนสงบตอนเก้าโมงเช้า สิบห้าชั่วโมง เราเลยไม่รู้ว่าใครเป็นผู้บัญชาการบ้าง ช่วงไหนตอนไหน ส่งทอดกันอย่างไร (ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าตำรวจทหารที่ร่วมปฏิบัติการหลายร้อยคนเขารู้กันไหมว่าตอนไหนใครเป็นผู้บัญชาการ)
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตสามเรื่อง…
เรื่องแรก…เป็นสงครามไทย-ลาวเมื่อต้นปี 2531 เพื่อแย่งชิงเนิน1428 หรือที่รู้จักกันในนาม”สมรภูมิร่มเกล้า”
ตอนแรกที่เกิดการกระทบกระทั่ง มีการรบกันก็เป็นเรื่องของทหารแนวชายแดนเป็นเรื่องของกองทัพภาค แต่พอการรบยืดเยื้อ ไทยส่งกำลังหนุนเต็มพิกัด ทั้งทหารปืนใหญ่ ทหารอากาศระดมกันไปเพียบ เรียกว่าเตรียมขยี้ทัพลาวที่ขนาดเล็กกว่ามากให้ยับเยิน และที่สำคัญท่านผบทบ.ในเวลานั้นซึ่งควบตำแหน่งผบสส.ไว้ด้วย(ซึ่งก็คือบิ๊กจิ๋วหวานเจี๊ยบ พลอ.ชวลิต ยงใจยุทธ)ลงพื้นที่ไปบัญชาการรบด้วยตนเองลดตำแหน่งนายทหารในพื้นที่ลงไปเป็นแค่ผู้ช่วย …ผลการรบ ถึงแม้จะมีการสงบศึกในที่สุด แต่ก็เป็นที่รู้กันอย่างปิดกันให้แซ่ดว่า แทนที่ทัพลาวจะยับเยิน กลายเป็นทัพเรายับเยิน มีการสูญเสียอย่างมากมายที่สำคัญคือมีการประสานงานกันอย่างแย่มาก ปืนใหญ่ เครื่องบิน แทนที่จะระเบิดใส่ข้าศึก กลับใส่กันเองซะส่วนมาก เรียกได้เลยว่า”แพ้ศึก” (หวังว่าการเอามาเล่าจะไม่กลายเป็น”พวกชังชาติ”ไปนะครับ)
เรื่องที่สอง… เป็นเหตุการณ์รถแก้สระเบิดกลางกรุงบนถนนเพชรบุรี ที่มีคนตายไป 92ศพในคืนวันที่24 กย.2533 …โดยผมบังเอิญอยู่ใกล้มาก(โรงแรมฮิลตัน ปาร์คนายเลิศ)เลยได้สังเกตการณ์ปฏิบัติการช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดอยู่หลายชั่วโมง โดยยืนอยู่บนสะพานถนนวิทยุ และติดตามผ่านวิทยุมือถือของตำรวจและของมูลนิธิปอเต๊กตึ๊งและร่วมกตัญญู
ทันทีที่เกิดเหตุ แน่นอนครับ สารวัตรท้องที่ก็เข้ามาควบคุมสถานการณ์แต่หลังจากนั้นก็เปลี่ยนผู้บัญชาการเหตุการณ์ไปเรื่อยๆแล้วแต่ว่าใครยศใหญ่กว่าจะมาถึง เท่าที่จำได้ก็เปลี่ยนจากสารวัตรใหญ่ไปผช.นครบาล แล้วไปผบ.นครบาล แล้วพออธิบดีตำรวจพลตอ.แสวง ธีระสวัสดิ์มาถึงก็เข้าบัญชาการ และสักพักเดียวเรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นเมื่อท่านบรรหาร ศิลปอาชารมต.มหาดไทยมาถึงแล้วรับมอบการบัญชาการต่อมาจากอตร. แต่ที่พีคที่สุดก็คือ สุดท้ายพลเอกชาติชาย นายกรัฐมนตรีก็เข้ายืนควบคุมสถานการณ์บัญชาการด้วยตนเองอยู่บนทางด่วน ซึ่งผมยืนฟังวิทยุตำรวจดูก็รู้ว่ามันดึกพอควร และท่านก็กรึ่มๆได้ที่ทีเดียว ทั้งพูดทั้งสั่งมั่วไปหมด
ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนการส่งมอบการบัญชาการ ก็จะมีการบรรยายสรป ซึ่งก็เป็นเรื่องเดิมๆซ้ำๆเกือบทั้งนั้น ผมยืนดูอยู่สามชั่วโมง สรุปได้เลยว่าทางตำรวจ ทางราชการแทบจะไม่ได้ช่วยผู้ประสบภัยเลย
แต่ที่น่าประทับใจยิ่งกลับเป็นอาสาสมัครสองมูลนิธินั่น โดยเฉพาะร่วมกตัญญูที่ผมยืนฟังการอำนวยการตลอด เขามีผู้บัญชาการคนเดียวตลอดงาน ได้รับข้อมูลจากทุกส่วน รู้หมดว่ามีคนเจ็บอยู่ที่ไหน ต้องให้รถพยาบาลเข้าไปรับทางไหนกี่คัน เข้าทางวิทยุ ทางเพชรบุรี หรือทางด่วน รับแล้วจะพาไปไหน โรงพยาบาลไหน(เช่น ตำรวจ จุฬาฯ)อย่าไปเพราะเต็มแล้ว ให้ไปราชวิถี วชิระหรือเอกชนแทน เห็นเขาทำงานแล้วประทับใจจริงๆ รุ่งขึ้นต้องไปบริจาคเลยครับ ส่วนน้าชาติยืนสั่งโหวกเหวกอยู่บนทางด่วนดูแล้วไม่ได้ผลอะไร สักพักก็กลับบ้าน(หลังจากให้สัมภาษณ์ปิดรายการ)
เรื่องที่สาม… ไม่ได้เกิดในประเทศไทย แต่เป็นภาพประทับใจซึ่งผมคิดว่าใครๆก็คงเคยเห็น (ผมเอามาให้ดูด้วยครับ)คือ ภาพWar room ปฏิบัติการเด็ดหัว โอซามา บินลาเดน ในวันที่ 2 พค.2554 ที่จะเห็นเลยว่า ผุ้บัญชาการที่นั่งหัวโต๊ะนั้น บัญชาการจริงๆ …อย่างประธานาธิบดีโอบามาซึ่งเป็นผู้อนุมัติให้ปฏิบัติการ และฮิลลารี คลินตัน เข้าไปร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์พูดหรือสั่งอะไรเลย (ข่าวว่าทั้งสองคนขอเข้าไปร่วมสังเกตเป็นกรณีพิเศษและได้รับอนุญาตจากผบ.ตัวจริงถึงเข้าไปร่วมได้ แต่ห้ามพูดอะไรเลยจนกว่าปฏิบัติการจะแล้วเสร็จ)
นี่แหละครับ ความแตกต่างระหว่างระบบที่มีประสิทธิภาพ ที่เลือกใช้คนตามทักษะ ตามความหมาะสมกับสถานการณ์ กับระบบล้าหลังที่ถือเอายศศักดิ์เป็นตัววัดทักษะ ถ้าใครยศสูง ตำแหน่งใหญ่ ก็ถือว่าเก่งกว่าเก่งสุดในทุกเรื่อง ทำได้หมด ตั้งแต่วางแผนสั่งการ ไปจนถือปืนใส่เกราะคลานนำไปลุยศึก (นี่ถ้าข่าวออกมาว่ากระสุนนัดที่เจาะขมับคนร้ายจนจบเรื่องมาจากปากกระบอกปืนของท่านผบ.เองก็จะเทียบได้กับท่านคิม จองอึนผู้อัจฉริยะทุกอย่างที่มีประกาศในเกาหลีเหนือว่าท่านตีกอล์ฟรอบเดียวได้โฮลอินวันถึงสามหลุมเเลยนะครับ)
…ยังไงๆผมก็ยังคิดว่า ผนทฉกกลนยค (ผู้นำไทยฉลาดกว่าเกาหลีเหนือเยอะครับ)
Banyong Pongpanich