ที่มา โพสต์ทูเดย์
1.ความนิยมในตัวบิ๊กตู่ลดลงจากเดิม อยู่ในช่วงขาลง เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 5 ปี มีข้อครหามากมายทั้งเรื่องความโปร่งใส และการแก้ปัญหาปากท้องไม่สำเร็จ ซึ่งผลเลือกตั้งบ่งบอกชัดเจนพปชร.ได้ส.ส.แค่เพียง116 เสียง น้อยกว่าพรรคเพื่อไทยที่เป็นฝ่ายตรงข้าม ที่ได้ถึง 136 ที่นั่ง แม้จะได้เสียงป็อบปูล่าโหวตสูงสุด แต่เป็นเพราะพรรคเพื่อไทย ส่งสส.น้อยกว่าถึง100 เขตเลือกตั้ง
2.ภาพลักษณ์รัฐบาลติดลบ ถูกมองสืบทอดอำนาจขาดความชอบธรรม ทั้งเรื่องของการควบคุมกลไกองค์กรอิสระ อาทิ กกต. ปปช. รวมถึงส.ว.250 คนที่ พล.อ.ประยุทธ์ตั้งเองกับมือ ยิ่งได้รับเสียงโหวต500 เสียงให้เป็นนายกฯจึงถูกตั้งฉายาให้เป็นนายกฯ500 ติดตัวไปทันที และหากว่ากันตามจริงถ้าไม่มีเรื่องของ250 ส.ว.อยู่ในมือตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง พปชร.อาจเป็นพรรคฝ่ายค้านไปแล้ว
3.การตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพรุนแรง ล่มได้ทุกเวลา แม้จะมีเสียงเบ็ดเสร็จในรัฐสภาถึง500 เสียง แต่หากไปดูเสียงในสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นเวทีหลักที่รัฐบาลต้องใช้เป็นเครื่องมือในการออกกฎหมายมาให้สอดรับกับนโยบาย และงบประมาณประจำปี รวมถึงจะต้องมีเสียงไว้ป้องกันการตรวจสอบจากฝ่ายค้านทั้งเรื่องญัตติ กระทู้ถามสด และการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับเสียงโหวตเพียง 251 เสียง จาก 500 เสียง ถือว่าปริ่มน้ำสุดๆ ชนิดลุกเข้าห้องน้ำกันลำบาก
4.รัฐบาลผสม 20 พรรค 254 เสียง ทำให้เกิดการต่อรองกันตลอดเวลา หากไม่ลงตัวโอกาสเกิดการแทงข้างหลัง ปล่อยข่าวถล่มสกัดกันในแต่ละโครงการ โครงงาน ทั้งเรื่องของผลประโยชน์แบ่งกันไม่ลงตัว และปมแย่งกันสร้างคะแนนนิยมในแต่ละพรรคเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ซึ่งในท้ายที่สุดก็ไปกันไม่รอด
5.พปชร.ขาดเอกภาพ มีหลายก๊กหลายมุ้งการเมือง ไม่มีใครมีอำนาจที่แท้จริง ทำให้เกิดการต่อรองกันทั้งเรื่องของเก้าอี้รัฐมนตรี และตำแหน่งต่างๆทั้งในรัฐบาลและในสภา ซึ่งล้วนแต่สร้างร้อยร้าว ตัวอย่างที่ชัดเจนกรณีกลุ่มสามมิตร และกลุ่มนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาที่ยื่นเงื่อนไขต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี จนทำให้การเกิดความปั่นป่วนกันมาแล้วในเลือประธานสภา และการจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ในการแย่งชิงรมว.เกษตรฯและรวม.คมนาคม ซึ่งจในเมื่อรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เสียงของทุกกลุ่ม ทุกมือที่อยู่ในสภา จึงมีค่าอย่างยิ่งสามารถทำให้ล้มรัฐบาลได้ทุกเวลา
6.ขาดมาตรา44 ทำให้อำนาจของบิ๊กตู่ลดลงกว่าครึ่ง ซึ่งไม่สามารถใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้เหมือนในช่วง5ปีที่ผ่านมา เช่นการจับผู้คิดต่างไปปรับทัศนคติ จะทำไม่ได้อีกแล้ว รวมถึงจะบริหารจัดการแก้ปัญหาเร่งด่วนแบบกำปั้นทุบดินแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ได้เหมือนเก่าก่อน เพราะจะต้องเผชิญกับการต่อต้าน และเสี่ยงต่อการกระทำที่ผิดกฎหมายที่อาจจะถูกฟ้องถูกดำเนินคดีได้ และที่สำคัญกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือกลุ่มผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ก็จะออกมาทวงสิทธิ์ ไม่มีใครกลัวมาตรา44อีกต่อไป ซึ่งจะทำให้รัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ ถูกบั่นทอนยิ่งขึ้น
7.เก้าอี้ “ประธานสภา-รมว.กระทรวงสำคัญ”อยู่ในมือพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้”บิ๊กตู่ “และพรรคพลังประชารัฐไม่สามารถสั่งการเพื่อสร้างความได้เปรียบในการเมืองได้รวมถึงจะผลักดันนโยบายสำคัญของพปชร.ได้ยากเพราะทุกพรรคมุ่งสร้างทำนโยบายของตัวเองมากกว่า จึงทำให้เกิดความขัดแย้ง กันได้ตลอดเวลา
8.ความหวาดระแวงต่อกันระหว่างทหารกับนักการเมือง แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะกลายเป็นนักการเมือง แต่ความเป็นทหาร การตัดสินใจโผงผาง กล้าได้ กล้าเสีย ไม่ชอบการต่อรองแบบนักการเมือง โอกาสที่บิ๊กตู่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่มีมาก จึงอาจทำให้เพิ่มความขัดแย้งและแยกวงกันเร็วขึ้น
9.ช่องทางในการตรวจสอบรัฐบาลมีมากขึ้น ทั้งจากกลุ่มองค์กรภาคประชาชน กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือ รวมถึงพรรคฝ่ายค้านที่มีถึง246 เสียง ที่เตรียมขุดคุ้ยมาถล่มทั้งในและนอกสภา ในช่วงที่บิ๊กตู่บริหารประเทศมา 5 ปี รวมถึงงานนโยบายที่จะทำในอีก4ปีจากนี้ไป คงทำให้รัฐบาลต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างหนักหน่วง และ เมื่อไม่มีเครื่องมืออย่างมาตรา44 มาป้องกัน รวมถึงรอยร้าวทั้งในพรรคพลังประชารัฐและพรรคร่วมรัฐบาล ฉะนั้น โอกาสที่รัฐบาลบิ๊กตู่จะจมเร็วย่อมเป็นไปได้สูง
10.ภาพลักษณ์คณะรัฐมนตรี(ครม.)แม้ยังไม่ออกมา แต่ดูตามโผแล้วไม่มีอะไรโดดเด่น เป็นคนหน้าเดิมๆขาดตัวชูโรงในการที่จะสร้างความเชื่อมั่น ได้เท่าทีควร ยิ่งโดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ที่จะไม่มีความเป็นเอกภาพ เพราะมีหลายกระทรวงไปอยู่ในมือของพรรคร่วม อาทิ รมว.เกษตรฯ รมว.พาณิชย์และรมว.คมนาคม ซึ่งเดิมอยู่ในทีม”สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ซึ่งหากเป็นไปตามนี้เท่ากับไปลดอำนาจ”สมคิด” ลงมา ซึ่งอาจทำให้การทำงานมีโอกาสขัดแข้งขัดขากันตลอดเวลา
อ่านบทความเต็มได้ที่
https://www.posttoday.com/politic/analysis/591576
...
อนุทินไม่แลกโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรี 3กระทรวงเดิมเปลี่ยนไม่ได้ https://t.co/qj7dxOOE3H— ♥ Moui ♥ (@moui) June 8, 2019