วันอังคาร, กรกฎาคม 10, 2561

ลุกลี้ลุกลนจ่ายจีน ๖๔ ล้านอย่างศรีสุวรรณว่า ไม่น่าจะฉวยวิกฤตเป็นโอกาสได้

ไม่มีอะไรมาก แค่ปากพลั้ง พูดพล่อยไปพูดใหม่ได้ ยุคนี้ยุคทหารครองเมืองก็ธรรมดา พี่ป้อมของน้องๆ นักยึดอำนาจ ตอบนักข่าวเรื่องช่วยเด็กๆ ออกจาก #ถ้ำหลวง พอจะซื้ออะไรโดนว่าอยู่เรื่อย “จะเอาไปโกง” 

โถ อย่าเที่ยวโทษใคร โบราณว่า สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุลเดี๋ยวน้องที เดี๋ยวพี่ที ทหารเสือทั้งนั้น พูดวางกล้าม พูดไม่คิด (มั่วซั่ว) พูดผิดๆ พูดส่อเสียด พูดไม่มีหูรูดเหมือนเป็น ‘Diarrhea’

วันนี้ โฆษกกลาโหมแถลงปฏิบัติการ ‘Damage control’ ป้องปกลุงตือ หลังจากที่ปรากฏว่าสื่อสังคมของจีนด่าขรม ต่อการที่ พล.อ.ประวิตร์ วงษ์สุวรรณ ตอบคำซักถามของสื่อเรื่องเรือสปีชโบ๊ตอับปางนอกฝั่งภูเก็ต นักท่องเที่ยวจีนตายเป็นร้อย

ไม่มีอะไรหรอกเป็นคนละเรื่องกัน การทำผิดเรื่องหนึ่ง การช่วยเหลือเรื่องหนึ่ง ถ้าผมพูดอะไรไม่พอใจก็ขอโทษ ซึ่งผมได้รับรายงานมาอย่างนั้นจริงๆ ขออย่านำมาปนกัน” ทั่นรองหัวหน้า คสช. แก้ตัว เมื่อนักข่าวจี้ถามว่า “โซเชียลของจีนไม่พอใจคำสัมภาษณ์”

คำสัมภาษณ์นั่นที่ว่า “ขณะนี้ตำรวจกำลังดำเนินการคดีกับกลุ่มชาวจีนที่ใช้นอมินีคนไทย...เขาไม่เชื่อกรมอุตุนิยมวิทยา จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้” บิ๊กป้อมใส่ไม่คิด “นักท่องเที่ยวจีนเป็นคนทำนักท่องเที่ยวจีนกันเอง แล้วจะให้ทำอย่างไร”

แต่นักท่องเที่ยวจีนนี่น่ะเป็นลูกค้าหลักของไทย “ปี ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวต่างชาติ ๓๕ ล้านคน เป็นนักท่องเที่ยวจีนสัดส่วนกว่า ๓๐% หรือกว่า ๑๐ ล้านคน ปีนี้คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเพิ่มขึ้น ๑๐-๒๐% หรือมากกว่า ๑๑ ล้านคน”

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แถลงอ้างเหตุที่ประเทศไทย ผ่านกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวต่างชาติ (กรณีพิเศษ) จำต้องจ่ายค่าเยียวยาความสูญเสียและเสียหาย จากการที่เรือ ๓ ลำอับปางในอ่าวไทย

โดยจ่ายตั้งแต่รายละ ๑ ล้านบาทสำหรับผู้เสียชีวิต ๕๖ คน กับฟื้นฟูสภาพจิตใจผู้รอดตาย และชดเชยค่าเสียหายผู้เดินทาง ๗๔ คน รายละ ๒ หมื่นบาท รวมเป็นวงเงินทั้งหมด ๖๓.๙ ล้านบาท ที่ซึ่ง

ศรีสุวรรณ จรรยา ร้องว่าเอาใจนักท่องเที่ยวจีนเกินไป ถือเป็นการ “ใช้อำนาจอย่างรุกลี้รุกลนเกินไปกว่าที่กฎหมายบัญญัติ”


ทำไมต้องลุกลี้ลุกรน ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะเว็บข่าวเศรษฐกิจ นิเคอิรีวิวตำหนิความไม่พร้อมของไทย ในการให้หลักประกันความปลอดภัยต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว

บทความ Thailand's cave rescue drama highlights risk to tourism boom.’ อ้างจากการยอมรับของธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ “ว่ามีความผิดพลาดในมาตรการความปลอดภัยที่ถ้ำหลวง” จึงได้สั่งปิดอุทยานถ้ำในไทย ๑๖๙ แห่งเพื่อสำรวจด้านความปลอดภัยอย่างละเอียดก่อน

ขณะที่นายกรัฐมนตรีของไทยฉวยเอาโศกนาฏกรรมถ้ำหลวงมาทำให้เป็นโอกาส โดยกล่าวว่า “ถ้ำหลวงโด่งดังไปทั่วโลก” คาดว่าจะเป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมมากขึ้น หากแต่ว่าเหตุที่ร้ายเกิดไล่ตามมา เมื่อเรือท่องเที่ยว ๓ ลำอับปางในทะเลภูเก็ต คนตายเป็นร้อย กลับทำให้โอกาสเปลี่ยนจากวิกฤตหดน้อยลง


มิใยที่ พล.อ.ประวิตรจะพยายามแยกประเด็นเรือฟีนิกส์ที่ล่มเป็นกิจการนอมินี่ของทุนจากจีน ต้องมีการดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่เกี่ยวกับมาตรการกู้ภัยและช่วยเหลือค้นหาศพผู้เคราะห์ร้ายจำนวนร้อย

เจ้าของเรืออาจฝ่าฝืนกฎของกรมเจ้าท่า ดึงดันส่งเรือนักท่องเที่ยวออกทะเลทั้งที่มีพายุคลื่นลมแรงก็ตาม แต่ความผิดยิ่งกว่านั้นอยู่ที่การบริหารจัดการท่องเที่ยวทางทะเลของไทย ไม่ได้มาตรฐานในด้านความปลอดภัยเป็นหลักใหญ่
 
หากกฎระเบียบและมาตรการท่องทะเลไทยมีประสิทธิภาพ การฝ่าฝืนนำเรือออก (ไม่ว่าจะโดยต่างชาติหรือไทย) ไม่ควรที่จะเกิดขึ้น มิหนำซ้ำไทยมีพฤติกรรม “เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนมากที่สุดในโลก โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดอันดับให้” ด้วยแล้ว

มันย่อมตั้งแง่ไว้ก่อนได้ว่า ความผิดพลาดจะเกิดซ้ำซาก ดูจาก สำเนียง และ กิริยา จากการครองเมืองมานานกว่าสี่ปี แล้วไม่น่าที่รัฐบาลทหารจะมีความสามารถในการเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้ สิ่งที่พูดออกไปเป็นเพียงวาทกรรมหาเสียงสร้างคะแนนนิยมให้แก่ คสช. เท่านั้นเอง