โหนกันเสียจนกลายเป็นดราม่าขึ้นมาอีก เรื่องช่วย
๑๒ ชีวิตเด็กๆ บวกหนึ่งโค้ชออกจากถ้ำ ‘ขุนน้ำนางนอน’
ทั้งที่ตอนนี้ก็พักฟื้นกันมาอย่างดี ชูสองนิ้ว ขอกินโน่นกินนี่ เป็นสัญญานพร้อมออกจากโรงพยาบาล
(๑๙ ก.ค. นี้) แล้วอย่างเรียบร้อย
ถ้าไม่ใช่ ม.นเรศวร เจ๋งไอเดียให้ทุนการศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรียันเอกกับทั้ง
๑๓ ผู้ได้รับการกู้ภัย ซึ่งทันทีมีเสียงติ ตัวอย่างจากนี่ Wiroj
Lakkhanaadisorn @wirojlak ทวี้ตไว้น่ารับฟัง
“ทั้ง ๑๓ คนเป็นผู้ประสบภัย
ที่ได้รับน้ำใจจากคนไทย และต่างชาติในการช่วยเหลือ...จึงไม่เหมาะที่จะได้รับทุน
หรือรางวัลใดๆ ถ้า ม. นเรศวร ต้องการช่วยจริงๆ
อยากให้ช่วยครอบครัวของจ่าสมานจะดีกว่าครับ”
บ้างว่า “อ.บางระกำ อ.บางกระทุ่ม
น้ำท่วมบ่อยๆ เป็นผู้ประสบภัยเหมือนกัน ลูกหลานพอจะได้ทุนกับเค้ามั้ยครับ ?
จบมาได้พัฒนาถิ่นที่อยู่เเน่นนอน
รึต้องดังถึงจะเป็นไปตามเจตนารมณ์จึงจะได้ทุน” (Incognito @Incognito_me)
จึงได้มีนักศึกษาของ ม.นเรศวรกลุ่มหนึ่ง
รวมตัวกันแสดงการคัดค้าน
ด้วยเห็นว่าจะไปเบียดบังที่ทางการศึกษาของเด็กเรียนดีแต่ยากจน หรือลดโอกาสของบรรดา
‘ช้างเผือก’
อนุชนรุ่นต่อๆ ไป
อีกทั้งผู้เป็นย่าของทีมหมูป่าคนหนึ่ง แสดงปฏิกิริยาไม่ขอให้หลานรับทุน
ชี้ว่าแต่ละคนควรต้องดิ้นรนช่วยตนเอง
มิใย ดร.กาญจนา เงารังษี อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวรจะอ้างว่า
“นี่คือการควานหาเพชรในสังคมไทย...สนับสนุนการศึกษาให้เด็ก
ๆ ที่เป็นผู้ประสบภัย ควรเห็นใจและให้โอกาส
เพราะหลังเหตุการณ์นี้จะต้องฟื้นฟูสภาพจิตใจ ช่วงแรก ๆ
พอผ่านไปหลังจากนั้นสังคมอาจจะลืม”
แม้กระทั่ง
ม.รามคำแหงยังตามแห่บ้าง เมื่ออธิการบดี วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ บอกว่า “มีเกษตรกรจำนวนมากยอมเสียสละไร่นาของตนที่กำลังเพาะปลูก ให้เป็นสถานที่รับน้ำจากถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน
จังหวัดเชียงราย เพื่อช่วยชีวิตเยาวชนและโค้ชให้ปลอดภัย”
ดังนั้น
ม.เกษตรจะให้ทุนการศึกษาแก่ลูกเกษตรกรที่ไร่นาน้ำท่วม โดยให้เรียนฟีตลอดจนจบหลักสูตรปริญญาตรี
“เพื่อให้การศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต และสนับสนุนในการทำความดีของมนุษยชนต่อไป”
ซึ่งก็ยังดูควรแก่เหตุมากกว่า
เลยช่วยไม่ได้ที่เกิดปฏิกิริยาล้อเลียนเชิงตำหนิ
อย่างเช่นเว็บ ‘ครูสนิท’
ชูวลี “ทัศนศึกษาในถ้ำ เพื่ออนาคต” หรือเว็บ ‘ดับเบิ้ล
สแตนดาร์ด’ สร้างสโลแกน “อยากเรียนฟรี ต้องไปติดถ้ำ
อยากเลือกตั้ง ต้องไปติดคุก”
แต่ถ้าจะขำก็คงขำได้แค่นๆ ในเมื่อเห็นอยู่โทนโท่
จากทวี้ตของ John
Winyu @johnwinyu “อืม...เลื่อมใสระบบประเทศนี้เลย——เลื่อนสืบพยานปากแรกออกไปอีก
หลัง 'แหวน วัดปทุม' ติดคุกมาแล้ว ๓ ปี
๔ เดือน”
อันมาจากรายงานของสำนักพิมพ์ประชาไทกรณีที่ศาลทหารกรุงเทพฯ
นัดสืบพยานโจทก์ คดีที่อาสาสมัครพยาบาล ‘แหวน’ ณัฏฐธิดา มีวังปลาโดนข้อหา ๑๑๒ ว่า “ได้นำข้อความที่มีผู้โพสต์ไว้ในแอปพลิเคชันไลน์
กลุ่มไทยภาคี มาโพสต์ต่อลงในกลุ่ม DNP แอนด์เพื่อนแม้วและกลุ่ม
GERRARD”
จากการเปิดเผยของทนายในคดี วิญญัติ
ชาติมนตรี ทำให้เห็นว่าการตั้งข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ต่อแหวนนั้น
ไม่ต้องตรงกับข้อเท็จจริงอันประจักษ์ “ณัฏฐธิดาถูกควบคุมตัวโดยทหารตั้งแต่วันที่ ๑๑
มีนาคม ๒๕๕๘ ทหารได้ยึดอุปกรณ์สื่อสารและบังคับเอารหัสเพื่อเข้าถึงข้อมูลการสื่อสารทางโซเชียลมีเดียตั้งแต่วันดังกล่าว
แต่ข้อความที่เป็นปัญหาถูกโพสต์ในกลุ่มไลน์เมื่อวันที่
๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘” เท่ากับว่าจับก่อนแล้วจึงเกิดการกระทำความผิดตามมา
แบบนี้บางทีมีคนเรียกองค์กรที่เป็นผู้ดำเนินคดีว่า ‘ศาลเจ้าเจี้ยว’ บ้าง ‘ศาลกงเต๊ก’ บ้าง ก็ดูสมน้ำสมเนื้อดีอยู่
การจับกุมและขังยาวแหวน ที่เสี่ยงภัยช่วยปฐมพยาบาลผู้ชุมนุมราชประสงค์เมื่อ
พฤษภา ๕๓ ร่วมกับเพื่อนพยาบาลอาสาครั้งนั้น ซึ่งถูกกระสุนสไน้เปอร์จากทหารเสียชีวิตภายในวัดปทุมฯ
หลายคน จึงส่อแววไม่ปกติ
พอดิบพอดีก่อนหน้านั้น
แหวนไปให้การในฐานพยานเหตุการณ์สลายชุมนุมของ นปช.
ที่เริ่มจากการเรียกร้องให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะนั้น
จัดการเลือกตั้งเสียที แหวนเล่าให้ศาลฟังว่า
“เธอเห็นทหารบนรางรถไฟฟ้าด้วย ๕ นาย
โดยใส่ชุดลายพราง สวมหมวกด้านหลังหมวกติดสติกเกอร์สีชมพู
และทหารบนรางรถไฟฟ้ามีการประทับปืนเล็งลงมาที่วัด” ทำให้เพื่อนพยาบาลอาสาสมัคร ๓
คนตายไปต่อหน้า
คำให้การชัดเจนอย่างนั้น
ไม่สามารถสกิดให้ศาลรับฟังและไตร่ตรองเพื่อประโยชน์ของจำเลย
หากว่าเขาหรือเธอบริสุทธิ์ได้ แสดงว่าน่าจะมี ‘ธง’ หรืออะไรแอบแฝง ไม่ต้องการให้ณัฏฐิกามีอิสระอยู่เล่าความจริงมากขึ้นไปอีก
การจับกุมและคุมขังเธอจึงเกิดขึ้น
นั่นละ
การอยากเลือกตั้งไม่เพียงโดนคดีระนาว แต่มีคนต้องไปติดคุกยาวๆ แล้วด้วย