วันพฤหัสบดี, เมษายน 07, 2559

อาการติดกับ





ไม่ทราบที่ประยุทธ์ “บอกทั้งหมดกับทุกประเทศว่าคนที่ทำร้ายประเทศไทยคือใคร” แล้ว “เขาก็ยิ้มๆ หัวเราะอยู่” นั่นเป็นใครกันบ้างแน่

และข้อสำคัญการ “ยิ้มๆ หัวเราะ” ของพวกเขาทั้งหมดนั้น ทั่นหัวหน้า คสช. รู้วิธีอ่านสีหน้า ภาษากาย ได้ดีแค่ไหน ที่เขายิ้มๆ น่ะหยันไหม หัวเราะนั่นเย้ยหรือเปล่า

เอาแค่สงกรานต์นี้ ทั่นห้าม ‘ขันแดงและแต่งโป๊’ เขาก็หัวเราะก๊าก งอหายไปแล้ว

เท่าที่เห็นๆ ในต่างประเทศ มีแต่บอกว่าทั่นเองแหละตัวการ ทำให้ประเทศถอยหลัง ทั้งทางสิทธิมนุษยชน นิติธรรม และความกินดีอยู่ดีของคนในชาติ

ล่าสุด (ก่อนหน้านี้อีกเยอะและหลังจากนี้มีแยะ) จากแวดวงธุรกิจตลาดหลักทรัพย์ ผู้เขียนรายนี้เขาเป็นประธานบรรษัทที่ปรึกษาทางการบริหารธุรกิจเกี่ยวเนื่องความมั่นคง ในกรุงวอชิงตัน มีผลงานบทความมาแล้วมากมายทั้งในขอบข่ายของอเมริกาและระหว่างประเทศ

บทความชื่อ ‘If Thailand were a stock, I’d short it.’ เขียนโดยนายแสตนลี่ย์ ไว้ส์ ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่โดยสำนักข่าวสาร ฮัฟฟิงตันโพสต์ เมื่อวันก่อน แสดงให้เห็นว่าเขารู้อะไรเกี่ยวกับเมืองไทยดีกว่าจะเชื่อง่ายๆ กับสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เที่ยวบอกใครตอนไปเมืองนอกนะ

(http://www.huffingtonpost.com/…/if-thailand-were-a-stock_b_…)

นายไว้ส์เริ่มบทความของเขาโดยท้าวความย้อนหลังไป ๑๙๗ ปี ขณะที่นายพลแอนดรูว์ แจ็คสัน ยกกำลังเข้ายึดดินแดนฟลอริด้าของสเปนแล้วเลยไปผนวกพื้นที่อิลลินอยส์ทางตะวันตก ในฤดูร้อน ค.ศ. ๑๘๑๘ นั้น กัปตัน สตีเฟ็น วิลเลี่ยมส์ ทหารผ่านศึกสงครามประกาศอิสรภาพกับอังกฤษ ซึ่งผันตัวเองไปเป็นพ่อค้านักเดินเรือ ได้ใช้เวลา ๑๙๐ วันเดินทางเสาะหาเครื่องเทศไปถึงดินแดนสยามในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

กัปตันวิลเลี่ยมส์ได้พบกับกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ มกุฏราชกุมารในรัชกาลที่สอง (ซึ่งทรงชำนาญเรื่องการท่าและพาณิชย์ชนิดที่พระราชบิดาทรงเย้าเสมอว่า ‘เจ้าสัว’) ซึ่งฝากจดหมายกลับไปให้ประธานาธิบดีเจมส์ มอนโร เนื้อความสำคัญว่า “หากจะมีพ่อค้าอเมริกันกลับไปสยามอีกครั้ง ขอให้นำปืนไรเฟิลดีๆ จำนวนมากเท่าที่จะนำไปได้ ไปเพื่อค้าขายแลกเปลี่ยนกัน”

“ทั้งที่สหรัฐกับไทยมีความสัมพันธ์อันผลิดอกต่อกันในสองศตวรรษต่อมา คำของกมุฏราชกุมารสยามดังกล่าวกลายเป็นตำนานขลังอย่างน่าพรั่นพรึง แม้นว่าสถานทูตอเมริกันที่นี่เริ่มเตรียมงานฉลองความสัมพันธ์ยาวนานครบ ๒๐๐ ปี (ในเดือนมิถุนายน) ๒๕๖๑ ก็เป็นกับประเทศที่ไม่ได้บริหารจัดการด้วยการค้า หากแต่ปกครองด้วยปืน”

แสตนลี่ย์ ไว้ส์ ลำดับความเกี่ยวกับไทยตั้งการรัฐประหารครั้งที่ ๑๙ เมื่อปี ๒๕๕๗ ควบไปกับรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒๐ “ความแตกแยกในสังคมอันนำมาสู่การยึดอำนาจครั้งนี้ฝังลึกและไม่เห็นทางสำหรับการปรองดองยิ่งกว่าครั้งใดๆ ที่เคย…

กองทัพกลายเป็นองค์กรที่ขาดจิตสำนึกแห่งความถูกต้องมากยิ่งขึ้น ทำตัวเป็นปฏิกิริยา (ไม่เห็นใครอื่นดีไปทั้งนั้น) และลดคุณค่าลงไปทุกวัน ทำการเกาะกุมอำนาจให้อยู่ยาวนานเกินกว่าเมื่อจะมีการเลือกตั้งรัฐบาลพลเรือนเข้าไปบริหาร”




แสตนลี่ย์ชี้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบ ๒๕ ปีที่เขาเดินทางไปกรุงเทพฯ เป็นประจำทุกปี “นครแห่งนี้ให้ความรู้สึกโดยประสาทสัมผัสได้ว่าไม่ปลอดโปร่งนัก ไม่แน่ใจกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

ผมต้องยอมรับเลยละว่า ถ้าประเทศไทยเป็นหุ้นตัวหนึ่งละก็ ผมจะเก็งได้ทันทีว่าเป็นหุ้นร่วง ต้องรีบปล่อยทิ้งไปก่อนในตอนนี้ รอที่จะซื้อกลับภายภาคหน้า หลังจากที่ประเทศนี้ปรับปรุงตัวเอง แก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไปได้แล้ว”

“แม้ว่าประชากรของประเทศนี้เป็นที่รู้ดีว่า ‘ยากที่จะยอมจำนนอะไรง่ายๆ’...ความระส่ำระสายทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ในที่สุดก็ทำให้ประเทศที่เคยเรียกกันว่า ‘Teflon Thailand’ ได้อ่อนยวบเยียบไปแล้ว”

“กระนั้นก็ดี ปัญหางูกินหางทุกวันนี้ พวกชนชั้นสูงบอกว่าสนับสนุนประชาธิปไตย แต่ก็ตระหนักว่าถ้ามีการเลือกตั้งที่เสรีและเที่ยงธรรมขึ้น ในชาติที่ชาวไร่ชาวนาในชนบทมีจำนวนมากกว่าชนชั้นสูงในเมืองละก็ ผลมันจะไม่ไปในทางที่พวกเขาพอใจ




หมายความว่าไม่เพียงเสียอำนาจไปอย่างถาวร ทว่าเกิดความคิดชนิดทีทนไม่ได้ ดังที่สื่อคนหนึ่งว่าไว้ ‘พวกคนเถื่อนบ้านนอกไร้การศึกษาเหล่านี้จะมายึดครองประเทศของเรา’

ในขณะที่พวกนักประชานิยมเชิดชูประชาธิปไตยโต้ว่า พวกเสื้อเหลืองชนชั้นนำยังคงปฏิเสธที่จะให้ข้อเสนอใดๆ นอกเหนือไปจากปักหลักยึดสถานะเดิมอย่างเหนียวแน่น แล้วก็ฉกฉวยเอาสิทธิเสียงอันชอบธรรมไปจากประชากรส่วนใหญ่ในการเรียกร้องสิ่งที่ต้องการ

ไม่มีฝ่ายใดแสดงให้เห็นว่ายินดีที่จะประนีประนอม”

“อึมครึมอยู่เหนือความขัดแย้งดังกล่าวก็คือกษัตริย์ภูมิพลอันทรงเป็นที่รักหากแต่อยู่ในระหว่างประชวร...พระเจ้าอยู่หัวฯ พระชนม์ ๘๘ ชันษา ทรงประทับอยู่ในโรงพยาบาล ห่างหายไปจากการปรากฏพระองค์ในที่สาธารณะ

ทำให้ผู้นำในท้องถิ่นคนหนึ่งแนะว่า บรรยากาศดั่งได้มีการเปลี่ยนผ่านรัชสมัยไปแล้ว”

(ประจวบกับขณะนี้มีสติ๊คเกอร์ ‘ไลน์’ ในชุด ‘Silly Family’ จำนวน ๔๐ รูป ออกมาแพร่หลายให้ดาวน์โหลดกันใหญ่ไว้เป็นที่ระลึก ละมั้ง)

นายแสตนลี่ย์รายงานด้วยว่า การประกาศมาตรการกำจัดผู้ทรงอิทธิพล ๖ พันคนเมื่อต้นเดือนโดยคณะทหาร ยังไม่ทำให้ทั้งประเทศจังงังเท่าการประกาศเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ขยายขอบข่ายอำนาจของทหารก้าวล้ำเข้าไปทำหน้าที่ตำรวจปราบอาชญากรรม

“ภายใต้กฎหมายใหม่ ดังที่เพื่อนสื่อมวลชนคนหนึ่งบอกผม นายทหารยศร้อยตรีขึ้นไปได้รับอำนาจให้จับกุมใครก็ได้ที่สงสัยว่าเป็นอาชญากร โดยไม่ต้องมีหมาย และคุมขังไว้ในสถานที่ปกปิด เป็นเวลา ๗ วัน โดยไม่ต้องตั้งข้อหาก็ได้”

“กองทัพยังมีอำนาจอิสระในการสั่งระงับธุรกรรมบัญชีธนาคารและยึดทรัพย์สินอีกด้วย คนพวกนี้ได้รับสิทธิพิเศษปลอดจากการถูกดำเนินคดี โดยไม่มีทางใดที่จะกลับบทบัญญัตินี้ได้

ในขณะที่มีการฟอกขาวให้แก่การคอรัปชั่นในหมู่คณะทหารอย่างด้านด้านเห็นชัด”

แสตนลี่ย์สรุปว่า ผลิตผลสุดท้ายของสิ่งเหล่านี้ก็คือ ประเทศไทยติดอยู่กับที่ไปไหนไม่ได้ เสื้อแดงไม่มีอำนาจ เสื้อเหลืองขาดหัวคิด ต่างฝ่ายต่างหวาดกลัวในสิ่งที่เชื่อเหมือนกันว่า ฝ่ายตรงข้ามย่อมจะมีแนวคิดแบบ ‘ไม่ได้ก็เสียทั้งหมด’ (Zero-sum approach)

“มันเป็นไปได้เสมอว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจจะยอมลดราวาศอกบ้าง ถ้าหากมีการแทรกแซงโดยนานาชาติ แต่ว่าความสำเร็จอย่างเป็นประวัติการณ์แบบที่บุกเบิกโดยอเมริกันเมื่อ ๑๙๗ ปีที่แล้ว นั้นเกิดขึ้นยากเย็นแสนเข็ญในประเทศไทยทุกวันนี้

อาการติดกับคงจะไม่เป็นเช่นนี้ตลอดไปหรอก แต่เราอาจต้องรอให้ถึงครบรอบ ๒๑๐ ปีความสัมพันธ์สหรัฐ-ไทย กว่าจะได้เห็นใบหน้าเปี่ยมสุขสดชื่นในดินแดนแห่งรอยยิ้มอีกครั้ง”