ได้ซึมซับรับรู้กับข่าวการข่มขืนแล้วฆ่าเด็กหญิงวัย ๑๓ ปี
บนรถไฟสายใต้จากสุราษฎร์ขาเข้ากรุงเทพฯ ในระยะสองสามวันที่ผ่านมาด้วยอารมณ์ผะอืดผะอม
(mixed
feeling) ทั้งสลดกับสิ่งที่เกิดขึ้น และสะอึกกับบางปฏิกิริยา
เนื่องจากเรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่
ที่ผู้คนให้ความสนใจกันอย่างล้นพ้น
ท่ามกลางบรรยากาศอึดอัดที่ข่าวเรื่องทหารชุดพราง ๕ นายขี่ฮัมวีไปเยือนแม่ค้าเสื้อแดงขายปลาหมึกทอดในเชียงใหม่เป็นหนสอง
แล้วแกะสติ๊กเกอร์พรรคเพื่อไทยทิ้ง หรือแม้แต่ข่าวทีมบราซิลถูกถอนขนเกลี้ยง
(ฝรั่งล้อเล่นว่า waxed) ๗ ประตูต่อ ๑ ในการแข่งขันฟุตบอลโลกที่คนไทยได้ดูฟรีด้วยความกรุณาของคณะ
รปห. ก็ยังไม่โครมครามเท่า
ในสภาพการเมืองที่การยัดความสุขให้ประชาชน กับการเรียกตัวนักประชาธิปไตยไปปรับปรุงทัศนคติ นับเป็นวิเทโสบายควบคู่สองแขนอันสำคัญต่อการเอาชนะให้สิ้นซากหลังจากทำรัฐประหารยึดอำนาจได้หนึ่งเดือนครึ่ง
ระหว่างเร่งให้ความเรียบร้อยบังเกิดก่อนจะเดินตามโร้ดแม็พ ๑๕ เดือนไปสู่การเลือกตั้งที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีใครได้ใช้สิทธิบ้าง
(เพราะมีข้อเสนอให้คณะกรรมการเลือกตั้งเป็นผู้มีอำนาจเต็มยิ่งกว่ารัฐบาล ทั้งที่คณะกรรมการชุดนี้แหละครั้งที่ผ่านมาพยายามเหลือเกินไม่ให้มีเลือกตั้ง)
ทันควันกับเมื่อรายละเอียดต่างๆ ในการตายของ ‘น้องแก้ม’
ปรากฏออกมาว่านายวันชัย แสงขาว คนร้ายเป็นพนักงานรถไฟ
กระทำการข่มขืนเหยื่อในตู้นอนแล้วฆ่าขณะรถวิ่ง
จากนั้นนำร่างและผ้าปูเตียงเปื้อนเลือดโยนทิ้งข้างทางบริเวณท้องที่ปราณบุรี
ก็เริ่มมีเสียงวิจารณ์แพร่ตามสื่อโซเชียลโดยพวกดารากับดีเจทั้งหลาย
เรียกร้องให้คณะทหารผู้ปกครองประเทศจัดการคนร้ายอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
บ้างเสนอให้ตัดจู๋ แต่ส่วนใหญ่อยากให้ประหาร
บางส่วนย่อยๆ ประเภทซาดิสต์ก็มี ดังที่ผู้ใช้นาม Airpeemai
Sawichain N Tongdung จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี เขียนว่า “ทำไมไม่ร้องให้คนช่วยค่ะ
หรือว่ามัวแต่ค(ร)าง (เสียว)”
ซึ่งก็อาจไม่เป็นสิ่งแปลกเกินความคาดหมายของหลายคน
ในเมื่อบรรยากาศของการนิยมความรุนแรงได้ถูกส้องสุมเอาไว้จนกรุ่นและกร่ำแล้ว
ดูตัวอย่างได้จากความเห็นของนายตำรวจคนดังผู้หนึ่งเขียนถึงหญิงสาวเชื้อไทยคนหนึ่ง
แม้จะเป็นเนื้อหาต้นเรื่องที่ต่างมิติออกไป แต่อารมณ์แห่งความชิงชังกับอาการห้ำหั่นมันตกร่องปล่องชิ้นเดียวกันเปรี๊ยะ
หากแต่ที่เด่นกว่าใครน่าจะเป็นการประกาศล่าลายเซ็น ๑ แสนรายโดยอดีตนางงามนามว่า
‘บุ๋ม’ น.ส.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ที่อ้างว่าคดีข่มขืนชำเราโทษไม่สาสม
ต้องแก้ไขกฏหมายให้ประหารสถานเดียว
แต่ก็มีการโต้แย้งผ่านทางมีเดียออกมาไม่เบา อาทิ
Pravit Rojanaphruk @PravitR นักหนังสือพิมพ์ชื่อดังโต้ว่า “คนที่สนับสนุน
#ข่มขืนต้องประหาร คือคนสนับสนุนการฆ่าคนทั้งๆที่ยังมีสติ”
สำหรับผู้ใช้นาม มิตรสหายท่านหนึ่ง นั้นบอกว่า “สังคมไทยคือสังคมที่ดูข่าวภาคค่ำเห็นข่าวชายอัปลักษณ์ข่มขืนเด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มแล้วเลือดเดือดเป็นฟืนเป็นไฟจะประหารให้ได้ แต่พอดูละครหลังข่าวเห็นพระเอกหนุ่มหน้าตาดีข่มขืนนางเอกหน้าสะสวย แล้วก็รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดจะจบลงด้วยดีได้โดยไม่ต้องมีใครตาย และฝ่ายถูกข่มขืนจะสมยอมในที่สุด”
เสริมโดย
Incognito
รวมทั้งความเห็นนักกฏหมายอย่างผู้ใช้นาม
‘เนติบัณฑิตไทย’ และนักหนังสือพิมพ์อย่างนายอถึกกิจ
แสวงสุข(หรือ ใบตองแห้ง) ต่างชี้ว่าความผิดอย่างนี้ก็มีโทษถึงประหารอยู่แล้ว พร้อมทั้งความเห็นในแง่กฏหมายอย่างค่อนข้างละเอียดของ
พุฒิพงศ์
พงศ์เอนกกุล ที่เน้นว่า “การมีโทษประหารชีวิตในระบบกฎหมาย
ก็ไม่ได้ทำให้ผู้กระทำผิดเกรงกลัวไม่กล้ากระทำผิด”
และความเห็นของ
ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ระบุว่า “การเพิ่มโทษก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ ตรงกันข้ามอาจทำให้การข่มขืนแล้วฆ่า
โยนศพทิ้งอาจมีเพิ่มขึ้นอีก เพราะข่มขืนแล้วต้องประหาร
แบบนี้ข่มขืนเสร็จแล้วฆ่าซ่อนศพด้วยดีกว่า เผื่อจะไม่มีใครจับได้”
แม้นว่าจะมีบางรายเหน็บแนมแกมกระทุ้งกรณีที่ลูกชายนักร้องคนดังเคยต้องคดีร่วมกับเพื่อนรุมโทรมเด็กสาวนักเรียนหญิง เสร็จแล้วด้วยอิทธิพลของพ่อที่สนับสนุนท่านผู้นำอย่างถวายหัว ถึงขนาดแต่งเพลงชื่นชมทันทีที่มีการปฏิวัติขึ้นสมใจ
ท้ายที่สุดบรรดาความเห็นแย้งต่อการกำหนดโทษประหารชีวิตสำหรับคดีข่มขืนจึงไปรวมอยู่ที่การรณรงค์ผ่านทาง
Change.org
โดย NITIPAN WIPRAWIT ให้ "เลิกเผยแพร่คติการล่อลวงข่มขืนว่าเป็นสิ่งปกติ" โดยให้เหตุผลว่า
“เราทุกคนต่างสลดใจกับเหตุที่เกิดกับน้องแก้ม
ซึ่งไม่ใช่เพียงเรื่องคดีข่มขืน ทั้งยังเป็นคดีที่เกิดขึ้นกับเด็ก
และรุนแรงถึงขั้นฆาตกรรม....แม้ละครที่เผยแพร่คติผิดๆว่าการข่มขืนเป็นเรื่องปกติ
จะไม่ใช่จำเลยหลักของกรณีนี้ แต่เราต่างคิดเชื่อมโยงได้ไม่ยากว่าการที่ละครแบบนี้ยังคงฉายอยู่เป็นปกติ
ในวงกว้างก็เท่ากับรูปแบบหนึ่งของการเพิกเฉยต่อพฤติกรรมของอาชญากร”
แน่นอน เรื่องนี้ไปถึงคณะปกครองไม่ชักช้า พ.อ.วิธัย สรวารี โฆษก
คสช. ออกมาแถลงว่าท่านผู้นำได้มีบัญชาให้ทหาร-ตำรวจสะสางคดีนี้โดยไว
และก่อนปรากฏภาพผู้ต้องหาถูกจับกุมก็ได้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า
เขาประกอบอาชญากรรมขณะมึนเมาด้วยพิษเบียร์ผสมยาบ้า หลังจากนั้นผู้กระทำผิดสารภาพด้วยว่าเคยข่มขืนหญิงอื่นบนรถไฟมาแล้วสองครั้ง
ไม่มีใครกระโตกกระตากเพราะความอาย
คราวนี้เรื่องอาชญากรรมไม่อำพรางเริ่มกระเส็นกระสายกลิ่นอายของการเมืองบ้าง
ทั้งอักษรและภาพปรากฏออกมาว่าทำไมยังไม่มีใครโดนปลด นัยว่าผู้บริหารชั้นสูงของ
รฟท. เป็นคนของระบอบทักษิณ งานนี้เห็นทีได้จังหวะเหมาะแล้วละ
อาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งจัดว่าเป็นฝ่ายไม่เอารัฐประหารก็ยังเขียนถึงผู้ว่าการรถไฟไว้ว่า
“ผมยืนยันนะครับ นายประภัทร จงสงวน ผู้ว่าการรถไฟ
อย่างน้อยที่สุดต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกครับ! ทำไม คสช. ไม่ปลด
แปลกใจมากๆ”
แต่เจ้าตัวก็แถลงว่าจะไม่ลาออก ขออยู่เพื่อแก้ไขปัญหาให้เสร็จสิ้น เขาเสนอการรถไฟจัดตู้โดยสารไว้เฉพาะเพศหญิง และล่าสุดก็มีระเบียบการห้ามขายสุรายาเมาบนรถไฟ
ออกมาแล้ว
ส่วนเหตุที่ยังไม่มีคำสั่งปลด ก็ได้แต่เดาๆ
เอาว่าเพียงแค่กระแสก็แรงพออยู่แล้ว ยังไม่ต้องตามเช็ดล้างระบอบทักษิณถึงขั้นนั้น ดูจากภาพประกอบสุดท้ายนี่
ผู้โพสต์ใช้ชื่อว่า Vote Thailand แต่ดันใช้รูปอวตารตรงข้าม โลโก้บรรจุข้อความ
‘Support NCPO’ เฉยเลย