ฮ่าฮ่าฮ่า ประยุทธ์ต่อว่าสภาไม่ฟัง “ท่านถามแล้วก็ไป
มีแต่คนพูด ไม่มีคนฟัง” นานๆ ได้อภิปรายยาว น่าจะเพราะมั่นใจพูดซ้ายหันขวาหันได้ พวกกรรมาธิการสายค้าน
ไม่ว่าการกลั่นกรองเงินกู้หรือสิทธิมนุษยชน รัฐบาลยึดครองตำแหน่งประธานได้หมดแล้ว
เรื่องหลักที่ไปพูดก็ ‘เงินกู้’ นั่นละ ที่ทั้งบ้านทั้งเมือง (ไม่แค่สภา) บ่นกระหึ่ม
“รัฐบาลทำเศรษฐกิจพัง จนต้องมากู้” นั่น “ตลอดระยะเวลา ๕ ปีที่ผ่านมารัฐบาลก็ได้พยายามทำให้ดีขึ้นอย่างเต็มที่
จะไปเทียบย้อนหลัง ๑๐ ปี ๒๐ ปี ก็ต้องต่างกันอยู่แล้ว”
นี่ไง พูดอย่างนี้ถึงไม่มีใครอยากฟัง
เมื่อก่อนมีคน (ที่ได้รับเลือกตั้งท่วมท้น) เขาทำไว้ดีๆ แล้ว ดันไปแย่งเขาเอามาทำ ‘ยามเฝ้าโรงงานอยากเป็นซีอีโอ’ อย่างที่ชาวบ้านว่า
บริหารไม่เป็นแล้วใช้วิธีเบิกของเก่ากิน มันย่อมพังน่ะสิ
อ้างว่าสถานการณ์โควิด-๑๙
ทำให้เกิดความจำเป็นเร่งด่วนต้องกู้เพิ่ม ตอแหล เดี๋ยวตบปาก ร่ำๆ จะกู้อยู่ก่อนโควิดมาแล้วละ
ประชาชนความจำไม่สั้นเหมือนพวกลิ่วล้อเผด็จการหลอกนะ ตั้งแต่ปลายปี ๖๒
มองเห็นแล้วว่าแย่แน่ๆ ระดับรากหญ้าหากินฝืดเคืองสุดๆ
ขึ้นปี ๖๓ ยังหาทางออกไม่เจอ นั่นละทำให้ ‘สี่กุมาร’ ด้านเศรษฐกิจเริ่มตกกระป๋อง
พอโควิดมาเลยได้ช่อง นี่มีหลายคนคิดนะว่า ไอ้ ‘ซูเปอร์สเปรดเดอร์’
สนามมวยลุมพิณีนั่นเป็น ‘conspiracy theory’ แผนบ่อนทำลายให้เกิดวิกฤตหรือเปล่า
เพราะมันอยู่ในมือทหารทั้งนั้น
คำอภิปรายชนิดที่งั่งอย่างเคยไม่ควรฟัง
ตรงที่นายพลจันทร์โอชาบอกว่า แหม กู้แค่ล้าน (ล้าน) เดียว ไม่ใช่ ๑.๙
ล้านล้านเสียหน่อย แบบนี้ต้องให้น้องพริษฐ์ เพ็นกวิน เขกกบาลลุงเสียหน่อย ๑
ล้านล้านมันก็มากเกินไปแล้ว ประชาชนต้องตามใช้หนี้ ๕๐ ปี
ไอ้ที่ผุดไอเดียให้ประชากรเที่ยวกันตอนวันธรรมดา
“ลดแออัดเสาร์อาทิตย์ แล้วไปทำงานช่วงอื่นทดแทน” พูดอย่างขุนนางนั่งในทำเนียบ
มิน่า ‘ตัวเงินตัวทอง’ สัตว์เลี้ยงน่ารักตามเทร็นด์ใหม่ ถึงได้วิ่งเข้าตึกไทยคู่ฟ้า จนเป็นข่าว
ประชากรตอนนี้ 'majority' เขาไม่ได้อยากเที่ยวกันหรอก แค่จะหางานทำใหม่ก็ยังยากแล้ว จะให้เอาวันทำงานไปเที่ยวแทนเสียอีก 'เฮียตู่' พ่นแล้วบ้วนอีกไม่เคยคิด
แล้วนี่จะเปิดเฟส ๕
จัดตารางให้นักเรียนไปโรงเรียนได้ ๕ วันใน ๒๔ วัน เพราะการเรียนออนไลน์ (เอาอย่างฝรั่ง)
ไม่ได้ผล เนื่องจากยังมีเด็กเล็กจำนวน ‘มะเหาฬาร’
ส่วนใหญ่ในประเทศ พ่อแม่ไม่มีเงินซื้อเครื่องมืออีเล็คโทรนิคมาให้ลูกใช้ได้
ขนาดชุดนักเรียนที่บังคับให้เด็กแต่งไปโรงเรียน
แม่บางคนยังต้องขโมยห้าง ถูกตำรวจจับเป็นอาชญากรแล้วเลย ส่วนพวกเด็กโตหน่อย อยู่
ม.ปลาย อยู่มหา’ลัย พวกที่เห็นแก่สังคม
(ประชาธิปไตย) มากกว่าหน้าตาผู้ใหญ่
ออกมาถามโน่นทวงนี่
ก็ให้ตำรวจไปจับเอาคดีความ พรก.ฉุกเฉินบ้าง พรบ.ชุมนุมบ้าง ปักหลังไว้
บีบบังคับให้กลับไปซุกอยู่แต่ในห้องเรียนอย่างเดียว ก็เลยเจอเด็กถอนหงอก ‘อารยะขัดขืน’ ไปยืนฉีกหมายเรียกของตำรวจให้ดู ว่าไม่ควรฟังตู่อีกต่อไป
คุยซะไม่มี “ผมอาจไม่เก่งแต่คนของผมเก่ง
และผมจริงใจในการแก้ปัญหา” เก่งจริงไหงต้องเปลี่ยนม้ากลางศึก แถมม้าตัวใหม่เพศเมีย
มีแต่คนร้องยี้ปรามาส ‘มือไม่ถึง’ แม้นิ้วชี้มีโป่งข่ามและกำไลข้อมือปลุกเสกผูกไว้ชี้นำปัญญา
สายไปแล้วละ และยังฟังไม่ขึ้นที่ชวน “เรามาร่วมมือกันได้ไหมในสถานการณ์พิเศษช่วงนี้”
หนึ่งนั่นการร่วมมือก็คือให้ทำตามโดยดุษฎีทั้งๆ ที่เขาเห็นกันว่ามันพาลงเหว สอง-ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ได้พิเศษอะไรมากไปกว่าฉวยโอกาส
โควิดไม่ได้ร้ายในไทย แต่ท้องแห้งแรงกว่า
อย่างเรื่องต่ออายุคำสั่งภาวะฉุกเฉินอีกหนึ่งเดือน
บอกจัดการอะไรๆ ได้ดีกว่าใช้กฎบัตรกฎหมายปกติ
ทั้งที่จำนวนเพิ่มโควิดแทบเป็นศูนย์มาเกือบเดือน บอกเด็กๆ
ที่ไปประท้วงเรื่องสิทธิมนุษยชนว่าฉุกเฉินไม่ห้ามชุมนุมแต่ต้องขออนุญาต
เด็กบอกไปขออนุญาตชุมนุม ตำรวจบอกให้ไม่ได้ตอนนี้ยังฉุกเฉิน
เด็กก็เลยไปฉีกหมายเรียกให้ดูซะงั้นไง อัน พรก.ฉุกเฉินนี่
สำนักส่งเสริมการรุ้ทันกฎหมายชื่อ ไอลอว์ เขาบอกไว้ว่า มันมีผลได้ดิบได้ดีสามประการสำหรับรัฐบาล
‘สืบทอด’ ชุดนี้
ประการแรกคือ ได้ ‘รวบอำนาจ’ ในเมื่อการจัดการโควิดตกอยู่ในรับผิดชอบของพรรคการเมืองที่ไปลากเอามาเสริมบารมี
พอโควิดลง ทั้งสาธารณสุข (ภูมิใจไทย) และพาณิชย์ (ประชาธิปัตย์) ล้วนบ้อท่า ‘มะงุมมะงาหรา’ มิหนำซ้ำจ้องหาแดรกกันทั้งกระบะ
คำสั่งภาวะฉุกเฉินทำให้เข้าไปละเลงได้ด้วยตัวเอง
แล้วอีกสองข้อได้เปรียบนั่นถนัดเขาเชียวละ คือนอกจากใช้ ‘ปราบม็อบ’ คนที่ต่อต้านหรือไม่พอใจรัฐบาล เด็กๆ ถึงโดนหมายเรียกรับฟังข้อหา
‘ฝ่าฝืน’ ภาวะฉุกเฉินกันระนาว
ประการสำคัญสุดท้ายของการมีแต่ได้กับได้ ถ้ายังใช้ภาวะแกเฉินก็คือ
“ยกเว้นความรับผิดของเจ้าหน้าที่” คนของรัฐรายไหนทำระยำตำบอนอย่างไร
(เหมือนตอนเคอร์ฟิว) สั่งให้หลุดได้ง่ายๆ ไม่โดนคดี ไม่มีความผิดฐานเจ้าพนักงานทำเกินแก่ควร
มาตรา ๑๖ ของ พรก.ฉุกเฉิน สั่งให้ ‘เมิน’ การตรวจสอบในกระบวนยุติธรรมโดยศาลปกครองเสียดื้อๆ
แล้ว ม.๑๗ ยกเว้นการรับผิด (ที่ทำ) ทั้งแพ่ง อาญา และวินัย โดยสิ้นเชิง
เพราะนั่นเป็นบท “ควบคุมไม่ให้เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ”
(https://www.facebook.com/iLawClub/posts/10164033399980551?__tn__=K-R และ https://news.thaipbs.or.th/content/293118)
มันเป็นอย่างนี้แหละพี่น้อง คิดถึง ‘หนูดี’ ขึ้นมาจับใจ กลัวก็กลัวพวกเราจะตายกันหมด
แต่ไม่กลัวหรอกนะ ‘ผู้นำงั่ง’
กลัวอย่างเดียว ‘ผู้นำเขี้ยว’
จะเอาแต่แดรกท่าเดียว ทุกอย่างเหมาหมดพวกกรูผู้เดียว พวกมรึง ‘ชั่งมัน’ อย่างพ่อว่า