วันเสาร์, พฤษภาคม 16, 2563

โฆษก ทบ. เสียใจ ตามหาความจริงยังไม่เจอเสียที "แต่กลับบอกให้ไปตามคดีเอาเอง"

เอ้า นี่ก็ คลายล็อคระยะสองแล้ว ยังไม่ยอมเลิก ภาวะฉุกเฉิน จะยื้อไว้นานถึงไหน ก็รู้ละอย่างน้อยๆ ให้พ้นช่วงครบรอบยึดอำนาจไปหน่อย ไว้ป้องกันฉายเลเซอร์อีกรอบ ทำเป็นผีกระสือไปได้ กลัวแสงไฟ

โฆษก ทบ.พูดถึงวันที่ ๒๒ พฤษภา ครบรอบรัฐประหาร ๕๗ ว่า “เป็นเรื่องในอดีต” และ “ละเอียดอ่อน เป็นความขัดแย้งของคนในสังคมที่มีความสูญเสีย กองทัพบกเองก็สะเทือนใจและเสียใจ” แหม่ ไม่เห็นจะยากตรงไหน เปลี่ยนเป็น รับความจริงก็สิ้นเรื่อง

แต่กลับบอกให้ไปตามคดีเอาเอง แต่คดีแม่งติดหงึกหงักบ้าง หายต๋อมก็มี ไอ้ที่พลิกลิ้นนั่นเยอะ แบบที่อดีตเลขาฯ สมช.คนที่โดนยิ่งลักษณ์ย้ายแล้วได้ดิบได้ดีจากคณะรัฐประหาร เปลี่ยนสี “มาห้อยตาม ป้อม เป็นที่ปรึกษา”
ดัง Atukkit Sawangsuk เหน็บว่า “จนได้เป็นประธานบอร์ดการไฟฟ้าภูมิภาค แล้วมาเป็น ส.ว.” ตอนนี้ได้งานในกรรมการฟื้นฟูหลังโควิดอีกแคมหนึ่งด้วย คงเตรียมไว้รอเสียบ ครม.ชุดใหม่หลังจากที่มีการผ่องถ่าย กรมธรรม์ไปให้ประวิตร วงษ์สุวรรณ เรียบร้อย

สองสามวันก่อน ประยุทธ์นำร่องวิธีการแถ “ถึงการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่าการจะต่ออายุหรือไม่นั้นอยู่ที่การพิจารณาของ ศบค. ซึ่งต้องคำนึงถึงมาตรฐานในการด้านสาธารณสุขเป็นหลัก” ตั้งเกณฑ์ไว้ให้ต้องผู้ติดเชื้อเหลือศูนย์

“แต่ก็ยังนอนใจไม่ได้แม้จะเหลือ ๐% ก็ตาม เราจำเป็นจะต้องดูถึงความร่วมมือที่จะไม่ทำให้ตัวเลขการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ควรจะอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้” แต่ขนาดไหนรับได้ไม่มีใครรู้เพราะอยู่ในภาวะฉุกเฉิน ตรวจสอบไม่ได้ พูดก็ไม่ได้
 
ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกลเขาถึงได้บอก “เหตุผลที่แท้จริงคือเรื่องทางการเมือง การป้องกันไม่ให้ประชาชนแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับรัฐบาล” เนื่องจากความเดือดร้อนที่รัฐบาลขี้ตู่ดำเนินนโยบายผิดพลาด

“ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากไวรัสโควิด-๑๙ และมาตรการของรัฐ โดยเฉพาะกับพี่น้องประชาชนทั่วไปที่เป็นผู้ใช้แรงงานและผู้ประกอบการรายย่อย” นี้ ชัยธวัช ว่า “ไม่อาจฟื้นตัวได้เองในเร็ววันหากปราศจากนโยบายรัฐ”

ปัญหาอยู่ที่ผู้กำกับนโยบายรัฐชุดนี้ที่สืบทอดมาจากชุดยึดอำนาจ “ตั้งแต่ในอดีตมามักบกพร่องเสมอในการเข้าใจ ใส่ใจ และแก้ไขปัญหาของประชาชนกลุ่มนี้อย่างถูกต้องเหมาะสม” การต่ออายุ พรก.ฉุกเฉินโดยไม่กำหนดยกเลิก เป็นเพียงแอบอ้าง

เขาชี้ข้อเท็จจริงอย่างจะแจ้งว่า “รัฐบาลสามารถควบคุมการระบาดของโรคได้โดยวิธีอื่นที่มีประสิทธิภาพมากกว่า เช่น พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่า พรก.ฉุกเฉินไม่สามารถยับยั้งโควิดได้

กลับเป็นเชื้อไฟให้เกิด ดราม่าในชีวิตประจำวันของประชาชนโดยใช่เหตุ กระทั่งการผ่อนคลายระยะสองที่เพิ่งประกาศในราชกิจจาฯ เปิดห้างสรรพสินค้า เปิดสนามกีฬาบางอย่าง “โดยเน้นประเภทไม่เสี่ยงแพร่เชื้อ” เนี้ยช่างทึ่ม

ประเภทของกีฬา และห้างสรรพสินค้า ไม่สำคัญเท่ามาตรการควบคุม เช่นเว้นระยะห่างระหว่างกัน สวมหน้ากากอนามัย แล้วยังต้องลงรายละเอียดกำหนดให้ชัดเจนและครอบคลุม ยกตัวอย่างในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย มีแรงกดดันหนักให้ทางการเปิดชายหาด

รัฐยอมเปิดให้คนเข้าไปเดินเล่น ลุยน้ำตามชายหาดในมณฑลออเร้นจ์และซานดิเอโก้ได้ แต่ห้ามจับกลุ่มหรือตั้งวง นอกนั้นยังปิดบริเวณที่จอดรถเพื่อกีดกันคนจากนอกพื้นที่แห่กันไปชุมนุมแล้วเกิดการระบาดรอบสอง ซึ่งตรงกับความหมาย ผ่อนคลาย

ส่วนที่รัฐบาลตู่ยังไม่กล้าเปิดก็คือสนามมวย จากการที่ ลุมพิณีถืออภิสิทธ์ผู้จัดรายการเป็นนายทหารยิ่งใหญ่ กลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อให้เกิดการระบาดมโหฬาร ยังเป็นชนักปักต้นคออยู่ กระนั้นก็ยังไม่วาย ๑๘ พฤษภานี้กระทรวงท่องเที่ยวเตรียมเยียวยา
 
คณะอนุกรรมการเยียวยากีฬามวยนัดประชุมกับรัฐมนตรีท่องเที่ยว ให้ลงนามอนุมัติมาตรการช่วยเหลือ “บุคคลในวงการมวยทั้ง ๗ กลุ่ม ประกอบด้วยนักมวย, ผู้ฝึกสอน, ผู้ตัดสิน, หัวหน้าค่าย, ผู้จัดการนักมวย, ผู้จัดรายการเเข่งขัน และสุดท้ายคือนายสนามมวย”

ตามแผนนี้ ตั้งแต่ ๑๙ พฤษภาเป็นต้นไป เปิดให้คนในรายการ ๗ กลุ่มยื่นคำร้องขอรับเงินเยียวยาเดือนละ ๕ พันบาท ๓ เดือนบ้าง ๖ เดือนบ้าง ส่วนค่ายมวยจะได้ตั้งแต่ ๑ หมื่นถึง ๓ หมื่นตามแต่ขนาดใหญ่ เล็ก หรือกลางๆ

น่าเสียดายนายพลอะไรนั่น เจ้ากรมสวัสดิการที่แหวกกฏโควิดระยะต้น ดึงดันจัดมวยจนได้ จนตนเองและอีกหลายร้อยคนติดเชื้อแล้วกลายเป็นผู้แพร่ หรือ ‘spreaders’ ตัวสำคัญ จะไม่สามารถยื่นขอเยียวยาด้วยได้ เพราะมีระเบียบห้ามข้าราชการขอรับ