วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 09, 2563

ลา มะลิลา เรื่องของ "ผู้นำอ่อนๆ ไม่สมราคา"

“ไม่พูดดีกว่า” เรื่องเหตุจูงใจจากกรณีเขย่าขวัญที่โคราช อันเป็นข่าวเด่นในยูเอสเอเมื่อเช้าวันเสาร์ (เท่ากับราวๆ ใกล้เที่ยงคืนเมืองไทย) ว่าคนตาย ๒๐ บาดเจ็บ ๓๐ เพราะทหารคนหนึ่งออกอาการระห่ำกราดยิงผู้คนในมอลด้วยอาวุธสงคราม

เรื่องอย่างนี้ในอเมริกาเกิดบ่อย เขาอ้างว่าเพราะอาวุธปืนชนิดสมรรถนะร้ายแรงแอบซื้อหากันได้ง่ายเกินไป นั่นถือเป็นเหตุใหญ่มากกว่าการมีคนบ้าคลั่งออกอาการในทางสาธารณะมากขึ้น แต่สำหรับเหตุในไทยรายนี้ทำท่าจะแรงกว่าไวรัสโคโรน่า

เนื่องเพราะคนร้ายเป็นทหาร พลแม่นปืนระดับจ่า หอบอาวุธหนักชนิดไรเฟิลเอชเค ๓๓ สามกระบอก ปืนกลเอ็ม ๖๐ สองกระบอก พร้อมกระสุนเกือบพันนัด ขับรถศึกฮัมวีออกจากค่ายสุธรรมพิทักษ์ หลังจากฆ่านายทหารหนึ่งคนกับทหารยามอีกหนึ่ง ไปก่อเหตุสยองใน เทอร์มินัล ๒๑ หลายชั่วโมง
 
แต่ที่จักต้องพูดตรงนี้เรื่องที่ “ผู้นำอ่อนๆ ไม่สมราคา” ไม่เพียงเพราะแฮ้สแท็กกำลังฮ้อต #ผนงรจตกม จากขบวนพาเหรดเสียดสีการเมืองในงานแข่งขันฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ครั้งที่ ๗๔ ในกรุงเทพฯ วันเดียวกัน

ดังพลเมืองไซเบอร์รายหนึ่งแนะ “ตั้งคำถามกับโครงสร้างความปลอดภัย การรับมือกับ หรือการป้องกัน” ไม่นับเรื่องที่ว่าป่านนี้ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ จะเป็นด้วยเรื่องนี้ละเอียดอ่อน ชนิดข่าวช่องไทยรัฐทีวีต้องเซ็นเซอร์คำ “เหตุทหารคลั่ง” เหลือแค่ “เหตุคลั่ง”

แม้กระทั่งรัฐมนตรีสาธารณสุขที่หมู่นี้ชักจะปากร้ายปากไวเหมือนหัวหน้าใหญ่ ด่ากราดฝรั่งนักท่องเที่ยวที่ไม่ยอมสวมหน้ากากอนามัย แล้วค่อยมาขอโทษภายหลัง ยังบ่นเป็นลายลักษณ์อักษรบนเฟชบุ๊คว่า “แค่โคโรน่าก็เหนื่อยมากแระ มาเจอเทอร์มินัลอีก”
 
สู้ ผบ.สองคนไม่ได้ คนหนึ่งฝ่ายตะหานอีกคนตำหวด พร้อมหน้ากันลงพื้นที่ขณะที่เสียงปืนและเปลวไฟยังไม่เหือดหาย คนหนึ่งแต่งกายเต็มยศ (ทบ.) เหรียญตราเต็มหน้าอก อีกคนชุดออกสงคราม (ตร.) เสื้อเกราะกันกระสุนกระชับอก

ชนิดประชากรออนไลน์อีกคนอุทาน “ถึงที่เกิดเหตุแล้ว...ผบ.ตร.: พวกเราฝากชีวิตประชาชนไว้กับคุณ​ด้วยค่ะ #savekorat” ส่วนคนใหญ่มิได้ชักช้าอีกหลายชั่วโมงต่อมาก็ขึ้นฮอไปร่วมบัญชาการ เสียแต่ว่าไม่ทันได้เจอ ผบ.ทบ. เพราะทั่นรีบกลับเสียก่อน ไม่เหมือนตอนที่ไล่ยิงคนเสื้อแดงก่อนโน้น

คงจะย้อนไปรักษาพระนคร ในเมื่อเดี๋ยวนี้ชักจะไม่ ยั่งยืนแบบที่แปรอักษรของจุฬาเขาแซะว่า “ถ้าไม่แก้ไข จบเห่ไทยแลนด์” เหตุว่า “แม้สค์ขาดตลาด อากาศขาดอ็อกซิเจ็น รัฐบาลขาดความรู้ ลุงตู่ขาด...” ดังอักษรบนอัศจรรย์ด้านธรรมศาสตร์ช่วยต่อยอด

จากการที่ปรากฏว่าหลายคนบอก “แปรอักษรของจุฬาฯ ปีนี้ ปังมาก” เนื่องจาก “มันสะท้อนว่าคนรุ่นใหม่ นิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่ไม่ยอมรับ แต่แอนตี้อย่างรุนแรงกับผู้นำล้าหลัง ระบอบล้าหลัง” (คอมเม้นต์ของ Atukkit Sawangsuk)

ไม่แค่เท่านั้นเหตุการณ์เลวร้ายที่ไม่คาดคิดกันว่าจะเกิดขึ้นอีก ทั้งๆ ที่ประเทศตกอยู่ภายใต้กฏเหล็กและในอุ้งมือทหารมากว่า ๕ ปี นับแต่ที่มีคนร้ายใช้อาวุธสงครามเยี่ยงทหารปล้นร้านทองที่ลพบุรี ยิงกราดไม่ยั้งจนคนบริสุทธิ์และเด็กเสียชีวิต
 
พลันก็มี เฟคนิวส์จากแหล่งผลิตเดียวกันที่ใช้ชื่อ เดรัจฉาจแฉ V2ซึ่งพยายามให้ร้ายพรรคการเมืองฝ่ายค้านรายหนึ่งมาแล้วว่า “โจรคลั่งอนาคตใหม่” คราวนี้เรียกมือสังหารเทอร์มินัล ๒๑ ว่า ทหารส้มคลั่งแล้วดยงสองกรณีเข้าด้วยกัน

ไม่ว่ากระทรวงดิจิทัลของรัฐมนตรีสามีนุสบา ปุณณกันต์ และ/หรือกำลังพลหน่วย ไอโอ ของทหารจะให้ท้ายกระบวนการวิชามารบนโซเชียลมีเดียนี้หรือไม่ การปล่อยให้เพจดังกล่าวประกอบการซ้ำอีกเช่นนี้ ก็พอที่จะชี้ชัดแล้วว่า

“ลา มะลิลา ขึ้นต้นปฏิรูปไทย ห้าปีผ่านไป ได้อะไรกลับมา”

(https://www.youtube.com/watch?v=iGwqG-Iptig และ https://www.nytimes.com/2020/02/08/world/asia/thailand-shooting.html=36495938)