‘ป่วน’ ‘ชง’ แล้วก็ ‘ลงดาบ’ มันเป็นสูตรสำเร็จของพวก คสช. ที่จะ ‘ยึด’ และ ‘ยื้อ’ อำนาจ ดั่งตอนที่แย่งเขามาก็ได้
สนธิ ลิ้มฯ เริ่มป่วนก่อนด้วยผ้าพันคอสีฟ้า ตามด้วยพวกเป่านกหวีดที่หลายคนเป็นรัฐมนตรีขณะนี้
พร้อมกับ กปปส.ช่วยกัน ‘ชง’ ให้สุกงอม
แล้ว ‘ประยุทธ์’ ก็ลงดาบประกาศ “ผมยึดอำนาจ” เอาดื้อๆ คราวนี้เช่นกัน แม้ความชอบธรรมอยู่ที่ฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด
และสถานการณ์ต่างไป แต่อาศัยตัวป่วน ทั้งปารีณาและสิระ
ช่วยกันโหมเขย่าให้กรรมาธิการปราบคอรัปชั่น ‘สั่นคลอน’
เมื่อวานนี้เอง (๕ กุมภา) ส.ส.พลังประชารัฐสองคนทำการก่อกวนในที่ประชุมกรรมาธิการปราบคอรัปชั่นหมายหยามหน้าประธาน
เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อีก พอเริ่มเปิดประชุม นายสิระ เจนจาคะ ก็เดินถือเอกสารไปหาประธาน
บอกว่า “ต้องการยื่นเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบการทำงานกรมเจ้าท่าและกระทรวงคมนาคม
เนื่องจากปล่อยปละละเลยให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์
ก่อสร้างบ้านพักรุกล้ำแม่น้ำเจ้าพระยา” ประธานไม่ยอมรับโดยตอบว่าวาระการประชุมมีอยู่อย่าแทรก
ให้ไปยื่นกับเลขาฯ คณะกรรมาธิการ
นายสิระดึงดันอยู่สักพักเมื่อไม่ได้ผลก็ยอมไปมอบเอกสารไว้ที่เลขาฯ
แล้วเดินออกจากห้องประชุมไป จึงถึงที น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ กรรมาธิการอีกคนป่วนบ้าง
โดยท้าวความเดิมเรื่องที่ตนเคยพาประชาชนมาร้องทุกข์เอาผิดต่อเสรีพิศุทธ์ไม่คืบหน้า
จากนั้นก็มีการต่อปากต่อคำระหว่าง
น.ส.ปารีณา กับกรรมาธิการบางคน เช่น จากพรรคอนาคตใหม่ ที่เห็นว่าการป่วนของสอง ส.ส.
พปชร. “ทำให้งานของคณะ กมธ.เสียหาย เพราะขณะนี้ประชาชนมองว่าพวกเราไม่ทำงาน”
เหตุที่ใครต่อใครเห็นว่านั่นเป็นการก่อกวนภายใน
กมธ. โดยสององครักษ์พิทักษ์ประยุทธ์ ก็เพราะข้อหาบ้านของเสรีพิศุทธ์รุกล้ำลำแม่น้ำนั้น
เป็นเรื่องเก่าตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ “มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน
และมีผลสรุปทั้งฝ่ายตำรวจและอัยการไม่สั่งฟ้อง จึงถือว่าคดีถึงที่สุดแล้ว”
ความจริงอาจเป็นเรื่องเส้นทางน้ำธรรมชาติกล้ำกลายพื้นที่ส่วนบุคคลก็ได้
ดังผู้ใช้นาม พลศักดิ์ เชยคำแหง อธิบายว่า “ถ้านึกถึงภาพออกว่า
ทำไมแผ่นดินริมทะเลหายไปปีละหลายกิโลเมตร เช่นที่ ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์
หรือที่ปางปู จ.สมุทรปราการ
น้ำทะเลหนุนท่วมรุกพิ้นที่ที่เป็นโฉนดของประชาชน” เขาเปรยว่าในกรณีของประธาน กมธ.ปปช.นี้
“ก็อาจได้เห็นภาพ สส.ผู้ทรงเกียรติกราบตีน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์อีกเป็นคนที่สอง”
ซึ่งคงจะยากเพราะ สิระและปารีณาไม่เป็นเพียง
ส.ส. ที่ “มีความกร่างเป็นผลงาน
ที่โดดเด่นเป็นประจักษ์” ดังคำของ เทพไท เสนพงษ์ ส.ส.ประชาธิปัตย์ เคยเย้ยหยันไว้เมื่อปีที่แล้วเท่านั้น
แต่ทั้งสองทำตัวเหมือนมีปลอกคอถูกส่งไปก่อกวนโดยแท้
คอยแต่คัดง้างกับประธาน
และไม่ยอมรับงานที่ประธานมอบหมาย อีกทั้งมักออกจากที่ประชุมก่อนเสร็จสิ้นการประชุม
ไม่ว่าจะพักรับประทานอาหารหรือว่า ‘ป่วนเสร็จแล้วเผ่น’ จนเป็นเหตุให้ต้องปะทะคารมกับนายประเดิมชัย
บุญช่วยเหลือ ส.ส.กทม.
ดาบสุดท้ายดูท่าจะมาจาก ตลก.เจ้าเก่า ศาลรัฐธรรมนูญ
หักดิบกับพรรคฝ่ายค้าน กำลังสำคัญที่จะเปิดเวทีประจานความชั่วช้าของคณะ ‘ยึด-เยื้อ’ อำนาจ ให้ชาวโลกรับรู้ ดาบนี้ผ่านการ ‘ชง’ ของ กกต. ให้ทำการยุบพรรคอนาคตใหม่
ต้องไม่ลืมว่า ตลก.ศาล รธน.นี้เป็นลิ่วล้อและผลพวงของคณะรัฐประหารทั้งสิ้น
บ้างตั้งมากับมือ บ้างยืดเวลาจนเกินอาณัติที่ควรเป็น ให้อยู่จัดการเก็บฝ่ายตรงข้าม
ดังนั้นศาล รธน.จึงต้องรีบเก็บพวกที่จะเป็นเสียงในสภาตราหน้านักยึดอำนาจเสียก่อน
นั่นเป็นการอ่านภาษากายของตลาการที่ออกประกาศเมื่อ
๕ กุมภา ว่าจะอ่านคำวินิจฉัยต่อคำร้องของ กกต. ในวันที่ ๒๑ กุมภา
ก่อนการเปิดอภิปราย ‘ไม่ไว้วางใจ’ สองวัน โดย “ไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานบุคคล”
แต่ก็ยังอนุโลมให้ “พยานบุคคล รวม ๑๗ ปาก
(ซึ่งผู้ถูกร้องยื่นรายชื่อระบุไว้) จัดทำบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็น
เป็นหนังสือยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์”
ส่วนกรณีที่พรรครัฐบาลถูกฝ่ายค้านร้องว่าทุจริตผ่านร่าง
พรบ.งบประมาณโดยการออกเสียงแทนกันนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องมีการไต่สวนใดๆ ตลก. “เห็นว่าคดีมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้”
แล้วจึงนัดฟังการอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ ๗ กุมภานี้
หลายคนมองเห็นเจตนา “ตัดแขนตัดขา
ไม่ให้อภิปรายรัฐบาลเหรอ” (จาก พี่อ้อ น้วยนาด @aorwiki)
ขณะที่ Jin Somroutai @jin นักข่าวช่อง ๓
ชี้ “มีโอกาสสูงอย่างยิ่ง ที่ ส.ส.ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ประมาณ ๑๐ คน
จะไม่ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล”
ซึ่ง Tom Chaithawat @tom4vendetta ฟันธงว่า “พวกเขาต้องการจะยุบพรรคอนาคตใหม่ให้ได้
เพื่อทำลายการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
และตอกตรึงสังคมไทยไว้ให้อยู่ภายใต้อำนาจของกลุ่มอภิสิทธิ์ชนตราบนานเท่านาน”
ในเมื่อฝ่ายคณะรัฐมนตรีเลือกวันอภิปรายฯ
ลงตัวแล้ว จะให้เริ่มเปิดการอภิปรายตอนบ่ายวันที่ ๒๔ ก.พ. (เพราะเช้ามีประชุม
ครม.) ๒๕-๒๖ ก.พ.อภิปรายได้แต่เช้ายันดึก (๙ ถึง ๒๔ น.) หากไม่เสร็จก็ต่อ ๒๗ ก.พ.
แล้วลงมติ ๒๘ ก.พ.